บันทึก full marathon ‘first and last ever!’ ของฉัน @ UNIQUE RUN จังหวัดสุโขทัย

ตอนเด็กๆ ฉันเห็นคนเขาวิ่งมาราธอนกัน ก็ไม่ได้สนอกสนใจอะไรเป็นพิเศษ ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นหรือเพราะกระแสพี่ตูนมาแรง ก็เลยวิ่งกะเขาบ้าง วิ่งไปวิ่งมา ก็เกิดไปสะดุดต่อมอยากกับคำว่า full marathon สำหรับฉัน มันไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลยนะ ที่จะวิ่ง 42.195 กิโลเมตร มันท้าทายและอยากจะทำให้ได้ ยิ่งไปเห็นว่ามีจัด full marathon 42.195 กิโลเมตร ที่จังหวัดสุโขทัย ยิ่งอยากวิ่งให้ได้ เพราะงานนี้จะได้วิ่งผ่านอุทยานประวัติศาสตร์ที่สวยงาม เมื่อต่อมอยากทำงานเต็มที่ ฉันก็แน่วแน่ว่าจะต้องทำ ‘First and last ever ‘ สำหรับระยะ 42.195 กิโลเมตรให้ของฉันให้สำเร็จให้ได้ในงานนี้ ในความเห็นของฉัน ฉันว่า full marathon ให้อะไรฉันมากมาย นอกจากสุขภาพดีที่ได้ตามต้องการ ฉันยังได้ฝึกฝนอะไรต่างๆมากมาย และฉันได้วินัย ในการดำเนินให้ภารกิจลุล่วง ไม่ใช่วิ่งเล่นๆ แบบขอไปที

ในระยะ 2 เดือนก่อนการวิ่ง ฉันเริ่มคิดถึงและดูแล ทั้งอาหาร ทั้งร่างกายให้พร้อม ที่สำคัญต้องดูทั้งระบบขับถ่ายให้มีวินัย คิดดูนะจะต้องเริ่มวิ่งตอนตี 4 เป็นเวลาที่ปกติกำลังหลับฝันดีอยู่ในที่นอน ฉันเลยคิดว่าจะทำอย่างไรให้ถ่ายหนักถ่ายเบาให้เรียบร้อยก่อนวิ่ง จะได้ไม่ต้องปวดท้องกลางทาง คิดถึงสภาพท้องก็ปวด ห้องน้ำก็หาไม่เจอ แล้วชักกลัว หรือไม่ถ้าเจอห้องน้ำก็ต้องเสียเวลา เรื่องอาหารก็สำคัญ ต้องหาอาหารที่เหมาะกับตัวเอง ในเช้าวันวิ่ง นั่นคือ ฉันต้องฝึกวิ่งระยะทางไกล และกินอาหารที่เหมาะสมไปด้วย ในขณะวิ่งจะวางแผนการดื่มน้ำ เช่นไร ! ฉันว่าเป็นการฝึกทุกอย่าง ผลนี้หมายถึงผลของการแข่งขันนะ จะวิ่งถึงหรือเปล่า เวลาจะดีหรือเปล่า ส่วนผลดีต่อสุขภาพนั้นเกินคำบรรยาย

เรื่องแรก เรื่องขับถ่าย ฉันลุยกินสะตอ 2 วันก่อนวิ่ง แต่ถ้าเช้านั้น ไม่สำเร็จ ก็เสร็จแน่ๆ คงต้องกลางทาง เพราะ ฤทธิ์สะตอ หุหุหุ ปรากฎ ได้ผล เลยสบายใจไปในขั้นแรก ขั้นต่อมา ฉันก็ลองศึกษาว่าอาหารอะไรที่เหมาะกับฉัน ราว 1-2 ชม ก่อนวิ่ง ว่าจะทานอะไร เป็นแหล่งพลังงานในช่วงต้นๆของการวิ่ง  สรุปฉันมาจบที่ กาแฟ/ ข้าวเหนียวแก้ว/ทุเรียน คิดไปก็สงสาร คนวิ่งตามหลังตาม เพราะ ราว 1 ชั่วโมงให้หลัง ฉันจะเรอ เป็นกลิ่นอันหอมหวล คิดแล้ว ช่างเถอะ ที่วิ่งเป็นพื้นที่เปิด คงไม่มีผลกับคนที่ตามมาเท่าไหร่นัก

เมื่อวันสำคัญมาถึง ฉันเริ่มออกวิ่งด้วยความเร็วสม่ำเสมอ จากจุดเริ่มจนถึง กิโลเมตรที่ 26 ค่อนข้างคงที่ คือ 6 นาที 30-50 วินาที ต่อกิโลเมตร ช่วงกินน้ำอาจช้าหน่อยเป็น 7 นาที 10 วินาที ต่อกิโลเมตร วิธีการคือ มือคว้าแก้วน้ำ ขาก็ยังวิ่งเหมือนเดิม ดื่มไป 2-3 อึก ถึงถุงที่เขาเตรียมไว้ให้ทิ้งแก้ว ก็โยนทิ้ง  ทั้งๆที่ อยากดื่มหมดแก้ว พอ กิโลเมตร ที่ 26 มีคนตรงจุด check point  มีคนตะโกนบอกฉันว่า ฉันเป็นอันดับ 21 ยิ้มด้วยนะ … เขายิ้มนะ  ฮาๆๆๆ!  ตอนนั้น สมองเริ่มคิด ประเมินกำลังตัวเองที่เหลืออยู่ กับ ลำดับที่ 21 การจะคว้าที่ 1 ในรุ่น คงไม่ต้องไปลุ้น ตอนนั้น คิดว่า เอาวะ! ฉันไม่หยุดแน่ จนกว่าจะแน่ใจ ว่า อย่างน้อยต้องได้ถ้วย เพราะรู้มาก่อนว่างานนี้ full marathon เขามีถ้วยเตรียมไว้ให้ 3 ถ้วย ต่อรุ่น

ฉันวิ่งวิ่งวิ่ง ต่อไปด้วยความเร็วเท่าเดิม จนราวกิโลเมตรที่ 33-35 ตอนนั้น ฉันคิดว่าฉันจะจบงานนี้ใน 5 ชั่วโมงให้ได้ ส่วนถ้วยก็อยากได้อยู่ คิดแล้วว่าผู้หญิงกลุ่มอายุฉัน ไม่น่ายาก ถ้ากัดฟัน มีทั้งหมดแค่ 12 คนเอง มาคิดอีกที แต่ละคนคงไม่น่าจะธรรมดา เพราะถ้าผ่านมาถึงตรงนี้ได้ เลยลองมองไปข้างหน้า ด้วยระยะสายตา เห็น ผู้หญิงรุ่นรา 3-4 คน แค่นั้นเอง กัดฟันโว้ย (อุ้ย ขออนุญาตไม่สุภาพ) อุตส่าห์ซ้อมมาตั้ง 2 เดือน อุตส่าห์วิ่งมาแล้วตั้ง 35 กิโลเมตร เหลืออีก 7 กิโลเมตร เอง … อีก 7 กิโลเมตร ในชีวิตของ full marathon ครั้งแรกของฉัน และแล้วเหมือนฟ้าดินเห็นใจ  พอจุดน้ำดื่ม ผู้หญิง 2-3 คนแรก เขาหยุด บ้างก็หยุดยืน บ้างก็เปลี่ยนมาเดินเดิน คิดในใจ เขาคงหมดแรงเหมือนกัน โอกาสทองของฉันมาถึงแล้ว ฉันใช้วิธีเดิมคือคว้าแก้วได้ก็วิ่งต่อเลย เรียกได้ว่าทั้งหมด 40 กม ไม่มีเดินเลยนะ คร้าาาา อิอิ  พอเด็ดไปได้ 3 คน  แอบเหลียวมองอายุ  แว้ คนที่หยุดอายุในกลุ่ม 30 กับ 40 ปี ไม่ใช่กลุ่มฉัน ฉันมัน 50 แล้ว ไม่ได้การ คู่แข่งยังอยู่ กัดฟันซอยเท้าต่อ เห็น ผู้หญิงเสื้อส้มๆ อยู่ข้างหน้า ห่างไปราว 200 เมตร น่าจะได้ เขาก็ยังซอยเท้าวิ่ง แต่พอถึงกิโลเมตรที่ 38-39 เขาหยุดวิ่งเปลี่ยนมาเดิน ฉันถือโอกาสวิ่งแซงแล้วแอบหันมามองป้ายของเขา .. อัยยะ ! กลุ่ม 50 ปี เขาก็มองป้ายเรานะ รู้เลยว่า เขาก็ไม่ยอม หุหุหุ ตอนนั้น ฉันบอกตัวฉันอย่างเดียวว่า “ฉันหยุดขาไม่ได้นะ”  แม้ว่าฉันรู้ว่าฉันจะจบงานนี้ใน 5 ชั่วโมง ได้อยู่แล้ว แต่ถ้าอยากได้ถ้วย อย่างน้อยต้องอย่าให้คนนี้แซง เพราะข้างหน้ามีกี่คน ก็ไม่รู้แหละ ช่วยไม่ได้แล้ว ถ้าอยู่ไกลเกินกว่าเห็น ก็หมดสิทธิ หมดหวังไปแซงเขา

ฉันเจอผู้หญิงอีกคน คนนี้เป็นคนสุดท้านที่ฉันแซง บอกก่อนว่าฉันวิ่งแซงตอนเขาเดิน  ในขณะที่แรงของฉันก็แทบไม่มีเหลือ แอบหันไปมอง เห็นเขาอยู่รุ่นเดียวกันคือ 50 ปี แต่พอเขาเริ่มวิ่ง เขาก็แซงฉันกลับเฉยเลย ตอนนั้นใจฉันแป้ว เพราะดูทรงแล้ว ไม่เห็นว่าเธอเหนื่อยเลย หนำซ้ำ มีคู่วิ่งพร้อมให้กำลังใจอีกต่างหาก แต่เมื่อถึงสถานีน้ำต่อมา เขาหยุดดื่มน้ำ ฉันคิดว่าเขาคงหมดแรงเหมือนกัน ส่วนฉันคว้าน้ำได้ กัดฟันปั่นกำลังแฝงออกมา นึกในใจ ถ้างานนี้ไม่ได้ถ้วย ก็ไม่มีแล้ว ตอนนั้นไม่มีเวลาคิดว่าแม้แต่จะคิดว่า ข้างหน้านอกสายตา มีอีกกี่คนที่วิ่งนำฉันอยู่ ในใจก็คุยกับอาปาของฉัน เหมือนเล่นของ 555 “อาปา เปิ้นไม่ลง full marathon อีกแล้ว ครั้งนี้ขอพลังขาให้ด้วย” .. 555 เล่นพลังลึกลับ จริงๆ ขาหมดแม๊กแล้ว แต่กัดฟัน ตาก็แอบหันมองไปข้างหลัง คนสุดท้ายสาวเสื้อส้มที่เราแซงอยู่ห่างไปราว 100 เมตร น่าจะใช้ได้ละ อิอิ ตอนนั้น ที่ราว กิโลเมตร 40 กว่าๆ  ขาของฉันบอกว่า ไม่ไหวแล้ว ขอพักแปป 555  ใจไม่อยากหยุด แต่ทำไงได้ ขามันไม่ไปแล้ว ฉันเลยอนุญาต เป็นการเดินแรก ใน 40 กิโลเมตร แต่ยังเดินเร็วนะ บอกตัวเอง ขอพักซัก 100 เมตร พอแรงกลับมาบ้างก็จะลุยต่อ พักขาสักพักก็กับมาวิ่งต่อ ได้ความเร็วเดิม คือ 6 นาที 43 วินาที ต่อกิโลเมตร แรงดี ศรีทนได้ ควายเรียกพี่ ในที่สุดฉันก็มาถึงจุดที่ฉันอยากไปถึง จุดที่ตั้งความหวังไว้นั่นคือ เส้นชัย  ฉันเข้าเส้นชัยเป็นที่ 3 ของรุ่น ใช้เวลาไป 4 ชั่วโมง52 นาที 33 วินาที เฮ ฉันยังได้ถ้วย ถ้าฉันถอดใจ เสื้อส้มคนนั้นแซงแน่ สาวเสื้อส้มคนนั้น มาคุยด้วย แล้วขอถ่ายรูป แล้วบอกว่า เขาก็เอาไม่ขึ้นแล้ว

หลังจากภารกิจ ลุล่วง ฉันก็เลยเขียนขอเขียน เพื่อบันทึกความรู้สึก/อารมณ์ เพราะกลัวจะหายไปกับกาลเวลา แล้วบอกว่า ถึงจะ 50 กว่า ฉันก็ทำได้ ขึ้นกับความตั้งใจ และการฝึกซ้อมค่ะ