รับน้องขึ้นดอย (ที่ผมประทับใจที่สุดในชีวิต)

“พี่ เราจะขึ้นไปไหวหรอ” คำถามแรกจากเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ ที่นั่งอยู่บนวีลแชร์
“ได้สิ พี่จะพาไปเอง” ผมตอบไป ทั้งๆ ที่ซ้อมวิ่งแค่วันเดียว

ผมตัดสินใจจะพาเธอขึ้นดอยไปด้วยกัน ทันทีที่ตัดสินใจและรับปากน้องไป เหมือนเราได้ให้คำสัญญากับน้องไปแล้ว สัญญาที่มีความฝันที่ยิ่งใหญ่ของน้องเขาเป็นเดิมพัน และผมก็ต้องทำให้ได้

การขึ้นดอยครั้งนี้ของผมไม่เหมือนหลายครั้งที่ผ่านๆ มา ปีนี้ผมไม่มีน้องปี 1 สาขาตัวเอง ไม่ได้ขึ้นกับคณะ แต่มาขอขึ้นกับศิษย์เก่าและศิษย์ปัจจุบันของสาขาวิชาภาษาเยอรมัน ราว 40 คน เพราะผมคนเดียวอาจจะพาน้องขึ้นไปไม่ไหว ได้ซ้อมวิ่งแค่วันเดียวเอง

ผม ทราย และน้องกัปตัน 3 คนเข็นน้องจากหน้า มช ไปยัง ยอดดอย รวมระยะทางกว่า 14 กิโลเมตร เราแวะพักที่พักริมทางอยู่หลายจุด ค่อยๆเข็นสลับกันไป
“ไหวรึเปล่าคะ เหนื่อยไหม พักก่อนไหม” เป็นคำที่พวกผมได้ยินจากน้องเขาอยู่บ่อยครั้ง แต่มันยิ่งเป็นกำลังใจให้เราเข็นน้องเร็วขึ้นอีกเพื่อให้ไปถึงจุดหมายไวๆ

“อีกนิดเดียว ครึ่งทางแล้วนะ ใกล้แล้วนะ อีกไม่กี่กิโลเอง” ผมพยายามพูดให้กำลังใจน้องทั้งๆ ที่ตัวเองเป็นคนเข็น แต่เรากลับรู้สึกว่าถ้าน้องท้อหรือหมดกำลังใจเมื่อไหร่ ต่อให้เรามีแรงแค่ไหนน้องก็คงไปไม่ถึงยอดดอย เพราะใจน้องต่างหากที่จะพาน้องไปถึงยอดดอยได้ พี่แค่ช่วยน้องเท่านั้นเอง

ระหว่างทางพวกเราคุยกันหลายเรื่อง แซวนู่นนี่นั่น ชมนกชมไม้ตามทาง พอให้หายเหนื่อย ผมชอบบรรยากาศนี้ มันคงเป็นที่มาของคำว่าระหว่างทางสำคัญกว่าปลายทางล่ะมั้ง

เสียงปรบมือและกำลังใจจากรุ่นพี่ศิษย์เก่า ศิษย์ปัจจุบัน มีมาตลอดทาง ยิ่งเป็นการบอกตัวเราเองว่าต้องทำให้ได้นะ ต้องพาน้องไปให้ได้นะ หลายครั้งที่ผมเริ่มหมดแรง เริ่มไม่ไหว ขามันล้า บางครั้งต้องหยุดกลางทางเพื่อพักสัก 1-2 นาทีเพื่อให้ขาได้พัก ผมพยายามสลับกับน้องอีก 2 คน นั่งพักบ้าง กินน้ำบ้าง ล้างหน้าบ้าง และหาเครื่องดื่มมาเติมพลัง ทำทุกอย่างเพื่อให้ตัวเองมีแรงเข็นต่อ แต่ความรู้สึกเราตอนนั้นไม่มีคำว่าทำไม่ได้เข้ามาอยู่ในหัวเลย เรากลับคิดว่าน้องมีโอกาสแค่ครั้งเดียวในชีวิตที่จะได้ขึ้นดอยแบบนี้กับเพื่อนๆรุ่นเดียวกันของตัวเอง ความรู้สึกแบบนี้ บรรยากาศแบบนี้คงจะไม่มีอีกแล้ว

จนถึงโค้งขุนกันต์ โค้งสุดท้ายของการเดินทางของพวกเรา
“โค้งสุดท้ายแล้วนะ” ผมบอกน้อง เราพักอยู่ตรงก่อนถึงโค้งสักพักหนึ่ง หลังจากนั้นค่อยๆ เข็นวีลแชร์ไปยังหัวโค้งขุนกันต์ เรานั่งรอจังหวะสักครู่ รอให้คนขึ้นไปหมดก่อนเพื่อให้ถนนโล่ง ผมเองก็เตรียมตัว เตรียมใจ โค้งสุดท้ายแล้วทุกสิ่งทุกอย่าง ความหวัง ความฝันของน้อง อยู่ตรงนี้แล้ว สองมือผมจับวีลแชร์ไว้แน่น ร่างกายพร้อมที่จะส่งพลังออกไปอย่างสุดกำลัง เราวิ่ง วิ่ง และวิ่งสุดกำลัง มีเสียงปรบมือและเสียงเชียร์มากมายจากรุ่นพี่ก้องเข้ามา
และ ในที่สุดเราก็ผ่านโค้งสุดท้ายมาได้….
ความรู้สึกตอนนั้นคือดีใจและโล่งมากอย่างบอกไม่ถูก หลังจากนั้นก็พาน้องไปไหว้พระธาตุ และชมวิวด้านบน

“เคยขึ้นไปวัดพระธาตุดอยสุเทพฯ ไหม” ผมถามน้องระหว่างทางเดินขึ้นดอย
“ไม่เคยค่ะพี่”
ตอนที่น้องชมวิวด้านบน น้องมองลงมา ทอดสายตามายังเมืองเชียงใหม่ น้องยื่นมือไปเกาะระเบียงไว้แน่น โน้มตัวไปข้างหน้าระเบียงอย่างใกล้ชิด ผมคิดว่ามันคงเป็นภาพที่สวยงามมากๆ สำหรับน้อง
อ่อ ไม่ใช่สิ ภาพที่สวยงามที่สุดสำหรับน้องมันเกิดขึ้นหลังจากที่น้องตัดสินใจจะขึ้นดอยแล้วต่างหาก…

“ยินต้อนรับลูกช้างเชือกใหม่นะ”

08.09.2018

ขอบคุณน้องแบม (นั่งวีลเเชร์) ที่ไม่ถอดใจและไม่ยอมแพ้จนสุดทาง

ขอบคุณน้องทราย(เสื้อสีเขียว) น้องกัปตัน(ชุดสีดำ) ที่เสียสละมาทำความฝันน้องให้เป็นจริงด้วยกัน
ขอบคุณชมรมเพื่อนผู้พิการมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ที่ดูแลน้องและสนับสนุนน้องเป็นอย่างดี
ขอบคุณอาจารย์ ศิษย์เก่าและปัจจุบัน น้องๆสาขาวิชาภาษาเยอรมัน คณะมนุษยศาสตร์ ที่เอื้อเฟื้อให้น้องขึ้นดอยไปด้วยกัน และดูแลกันไปตลอดทางครับ

ขอบคุณภาพจาก Chutchaval Charounwong
—————————————
คิดถึงน้องกัปตัน (คนบนฟ้า) เสมอ
6 ธันวาคม 2563

เขียนโดย นายดอกไม้

ติดตามบทความอื่นๆ ได้ที่ https://w2.med.cmu.ac.th/suandok-variety/