เมื่อฉันได้ทุน Erasmus+ ไปประเทศสเปน (EP.4 การใช้ชีวิตแบบอ้อม)

เมื่อทราบผลว่าได้รับทุนแน่นอนแล้ว ฉันมีเวลาไม่ถึงเดือนเพื่อวางแผนไปผจญภัย เริ่มต้นด้วยการ   หาที่พัก แม้ว่าจะมีพี่ๆน้องๆชาววิเทศที่เคยไปมาแล้ว หรือมหาวิทยาลัยกรานาดาแนะนำที่พักให้ ฉันก็ไม่ได้เลือกที่พักเหล่านั้น ความที่เป็นคนชอบลองของใหม่ๆเอง จึงตัดสินใจหาที่พักจาก booking.com และไม่ลืม  ที่จะเดิน Google Map ดูระยะห่างจากสถานที่อบรมไปด้วย การเลือกที่พักของฉันก็ไม่มีหลักการอะไรมากเพียงแค่ต้องอยู่ใกล้อาหาร และย่านชุมชน เพราะฉันหิวบ่อยและกลัวผี ขอแนะนำว่าก่อนจะเลือกที่พักควรอ่านรีวิวที่พูดถึงเจ้าของด้วยว่าเป็นคนอย่างไร และจองแบบไม่ต้องหักบัตรเครดิต สามารถจ่ายสดหรือรูดบัตรเมื่อไปถึง และยกเลิกได้โดยไม่มีค่าใช้จ่าย ส่วนราคาก็ให้เหมาะสมกับความต้องการของตัวเอง สำหรับฉันไม่รวมอาหารเช้าไม่เป็นไร ขอให้มีห้องน้ำในตัวก็พอ และนี่คือบ้านของฉันที่กรานาดา

ในรีวิวที่ศึกษามา ที่นี่ได้รับคำชมระดับดี เจ้าของก็ช่วยเหลือดี ซึ่งพอไปถึงก็รู้ว่ารีวิวนั้นเชื่อถือได้ค่ะ เจ้าของเป็นชายตาสีฟ้ามีเคราครึ้มๆสีเทา พูดเสียงเบาๆ ร่างกายกำยำ นำเราขึ้นไปที่ห้องพักพร้อมอธิบายกฎเกณฑ์ต่างๆให้   และนี่ก็เป็นครั้งแรกที่ฉันตระหนักได้ว่าเอ๊ะ…หนุ่มสเปนนั้นหน้าตาดีทุกคนเลย สังเกตตั้งแต่ลง Bus มาแล้วเนี่ย ปากซอยก็ไม่เว้น… พอเก็บของเข้าห้องเรียบร้อยแล้วเราก็ออกสำรวจเมืองโดยไม่มี Jetlag แต่อย่างใด และวันนั้นเองบังเอิญเป็นวันที่ทีมชาติสเปนแข่งชิงที่ 3 ฟุตบอลโลก 2018 พอดิบพอดี ฉันจึงชวน Ms. Concas ไปตามหาร้านอาหารท้องถิ่น โดยเลือกร้านที่มีคนเยอะๆ เพื่อจะไปชื่นชมบรรยาการกาศเชียร์บอลกับชาวสเปน ซึ่งพอขึ้นนำลูกแรกเท่านั้นล่ะ ผู้คนกระโดดดีใจส่งเสียงร้องประหนึ่งนั่งอยู่ขอบสนาม นึกภาพออกใช่ไหมคะว่าการเชียร์บอลโลกนั้นสนุกขนาดไหน ถ้าเปรียบเป็นคำเมืองก็คือ เดียวก่อเหิด เดียวก่อหุย ลุ้นๆๆ ตลอดเวลา แต่น่าเสียดายที่ทีมสเปนไม่สามารถคว้าชัยในวันนั้นได้

พอดูบอลจบเราก็เดินเที่ยวกันต่อ เลาะไปตามซอกซอยต่างๆ เจอผู้คนมากหน้าหลายตา สัญจรไปมาหนาแน่นเหมือนตอนกลางวัน ลูกเล็ก เด็กแดง พ่อแม่ยังเข็นรถมาเดินเล่นกัน รู้ตัวอีกที นี่สามทุ่มกว่าแล้วเหรอ ฟ้าสว่างเหมือนบ่ายสามบ้านเราเลย ส่วนอุณหภูมิที่นี่ เช้า บ่าย ดึก จะต่างกันมาก ถ้าเป็นพยาบาลที่เข้าเวร ช-บ-ด   คงต้องปรับร่างกายกันพอสมควร เพราะเช้าและดึกอากาศเย็นประมาณ 15 องศา ส่วนบ่ายบางวันร้อนถึง 39 องศาก็มี พอเดินกันจนค่ำแต่ไม่มืดแล้ว เราก็กลับบ้านนอนเพื่อเตรียมตัวเข้าอบรมอย่างเป็นทางการในวันพรุ่งนี้ ฉันพกมะม่วงอบแห้ง และซีเรียลเมืองเหนือ (ข้าวแต๋น) ติดไปด้วยเผื่อแจกเพื่อนๆ เรื่องของฝากนี้มีผู้ใหญ่ที่เคารพเคยแนะนำว่าเวลาเราไปที่ไหนให้พกของเล็กๆน้อยๆติดมือไปฝากคนอื่นด้วย ซึ่งฉันก็เห็นว่าดูน่ารักดี

วันรุ่งขึ้น พวกเราเพิ่งทราบในห้องประชุมว่าเขาจะยังไม่แจกเงินทุนให้ในวันแรกนี้ เขาจะให้ภายใน    3 วันและสั่งจ่ายเช็คเป็นรายบุคคลให้นำไปขึ้นเงินที่ธนาคารเอง ถึงคราวได้พึ่งพาความวิเทศสัมพันธ์ เรื่อง   การแก้ไขสถานกาณ์เฉพาะหน้าที่ต้องมานั่งบริหารเงินที่มีในกระเป๋า และค้นคว้าวิธีการไปขึ้นเงินกันหน่อย           แต่ก็ไม่ใช่ปัญหา เพียรบอกตัวเองว่าของที่อยากได้ให้อดใจไว้ก่อน เพราะจากการเดินสำรวจเมื่อวานอะไรๆก็        ON SALE !!!

ข้ามเรื่อง Shopping ไปก่อน ขอเล่าถึงการนำเช็คไปขึ้นเงินที่ธนาคารคุณต้องไปสาขาที่มหาวิทยาลัยไปติดต่อไว้เท่านั้น อย่าลองไปสาขาอื่นเหมือนฉัน เพราะกว่าจะรู้ว่าขึ้นเงินไม่ได้ก็เสียเวลาเมื่อยมือไปร่วมชั่วโมง   แต่ก็ถือว่าได้ประสบการณ์สนุกๆเพิ่มขึ้นอีกอย่างหนึ่ง ถ้าไม่ลองเราก็จะไม่รู้ และในที่สุดก็ได้เงินทุนมาครบถ้วน ก่อนอื่นฉันหักเงินที่สำรองจ่ายไปแยกเก็บไว้เลย ได้แก่ ค่าตั๋วเครื่องบิน ค่าที่พัก และแบ่งเงินบางส่วนไว้เผื่อกรณีฉุกเฉินจะได้ไม่เผลอใช้เพลินจนสร้างหนี้ในอนาคต ฉันถือคติว่าอย่าให้หนี้มาเป็นนายเรา จากนั้นนำเงินที่เหลือมาจัดสรรเป็นค่าใช้จ่ายในแต่ละวัน และเพื่อให้การใช้จ่ายเป็นไปด้วยความผาสุกฉันตัดสินใจไม่คำนวณค่าเงินบาทเป็นยูโร/ยูโรเป็นบาทแล้ว ฉันเรียกเงิน 100 ยูโร เป็น 100 บาทไปเลย ลองต้องมานั่งแปลงค่าเงิน ไม่ได้กินขนมอร่อยกันพอดี เพราะที่โน่นเราอาจจะได้จ่ายค่าขนม 1 ชิ้นในราคาเท่ากับค่าเสื้อผ้า หรือรองเท้าก็เป็นได้ พออบรมเสร็จในแต่ละวันฉันก็ไปเตร็ดเตร่ใน SALE Zone บ้าง ท่องเที่ยวบ้าง พบเจอผู้คน ข้าวของมากมาย กระเป๋า 10 บาท รองเท้า 25 เสื้อตัวละ 3 บาท 5 บาท ตกเย็นอยากทานแบบ Full Course Dinner 20 บาท ตามด้วยขนมอีก 15 บาท ก็ว่ากันไป

ส่วนเรื่องการใช้ชีวิตในกรานาดา ฉันกับ Ms. Concas ตกลงกันว่าจะเที่ยวด้วยกันในจุดที่เป็น Landmark หรือทานข้าวเย็นด้วยกันบ้าง นอกนั้นต่างคนต่างเดินเล่นตามใจชอบ เพื่อให้เราได้ดื่มด่ำกับเสรีภาพในต่างแดนให้เต็มที่ ไม่ต้องนั่งรอกันไปมา คอยถามจะทานอะไร ไปไหนดี ซึ่งการเที่ยวเพียงลำพังนั้น ฉันชอบที่จะสังเกตผู้คน และถนนหนทางเสมอ ดูทางหนีที่ไล่ จนบางครั้งก็เผลอตลกตัวเองที่เดินหันซ้ายแลขวา ก้าวเดินช้าเร็วสลับกันอย่างกับเป็นสายลับ แม้โดยส่วนตัวเชื่อว่าถ้าคิดถึงเรื่องดีๆ ก็จะเป็นไปตามนั้น อย่างเช่น คิดว่าตัวเองปลอดภัยเราก็จะปลอดภัย แต่ก็ไม่เคยประมาท ฉันใช้ชีวิตอยู่ที่โน่นอย่างสนุกสนานเรื่อยมาเริ่มจากตื่นเช้าไปอบรม บ่ายแก่ๆนั่งทานอาหารอร่อยๆ เย็นเที่ยวเล่น ค่ำกลับบ้านนอน ทุกวันก็แคล้วคลาดปลอดภัยดี จนกระทั่งคืนวันหนึ่ง ในความสงบก็มักมีสิ่งไม่คาดฝันเกิดขึ้นได้เสมอ เมื่ออยู่ๆก็เกิดแผ่นดินไหวตอนใกล้ตี 3  บ้านฉันอยู่ชั้น 3 รับรู้ถึงแรงสั่นสะเทือนจนสะดุ้งตื่น พลางคิดว่า จะวิ่ง จะหลบ จะคว้าอะไรไปบ้าง ความที่ตกใจตื่นในสภาวะอาคารโยกเยก เพื่อดึงสติให้ตัวเองสงบก็ภาวนาพุท โธ ซึ่งช่วยได้มากในสถานการณ์แบบนั้น  แต่ไม่นานแผ่นดินก็นิ่งสงบลง เหมือนจิตใจบวกกับความง่วงนอนขั้นสุด ฉันจึงล้มตัวลงผลอยหลับปุ๋ยไป ใจก็นึกนี่มีเรื่องตื่นเต้นเล่าให้แม่ฟังเพิ่มอีกแล้วเรา

เขียนโดย อ้อมเหม่ง

ติดตามบทความอื่นๆ ได้ที่ https://w2.med.cmu.ac.th/suandok-variety/