ไปทำวิจัยในภูฏาน (3)

วันที่ 2 ส.ค. วันนี้เดินไปทำงานเพราะรถกลับไป Thimphu เจ้าหน้าที่บอกจะมาเดินเป็นบอดี้การ์ดตอนเก้าโมง คงกลัวเราเป็นอะไรไปก่อน แต่เราอยากเดินไปคนเดียวเลยออกบ้านก่อน เดินไปได้สักสองร้อยเมตร พวกวิ่งตามมาจนได้ เอาของไปถือให้หมด ดีจัง ตอนเช้าก็นั่งทำงานไปเงียบๆ  ตอนบ่ายเลยชวนกันไปตลาดนัดฝั่งอินเดียเพราะจะมีทุกวันพฤหัส คิดว่าน่ามีของขายเยอะ เนื่องจากเคยข้ามไปหนหนึ่งและไม่ไกล แต่ที่ไหนได้ วันนี้เล่นย้ายไปขายลึกเข้าไปอีกร่วมสองกิโล เดินจนขาลาก พอไปถึงก็เริ่มเก็บกันเสียอีก เพราะจะคึกคักตอนเช้า เราดันไปบ่ายแก่ๆ ก็อย่างที่เห็นในรูป เหมือนตลาดชั่วคราวบ้านนอกของไทย แต่ไม่ค่อยมีของคุณภาพเท่าไหร่ พื้นก็แฉะเป็นโคลนเดินลำบาก กะว่าจะไปหาผลไม้หน่อย ได้มาแต่มะม่วงสุกกับสับปะรดเปี้ยวๆ ไม่รู้ว่ามาทำไมเหมือนกัน

ด่านเข้าอินเดีย

ตลาดนัด

ขายอะไรดูเองนะ

พอขากลับผ่านด่านเห็นมีไข่และเนื้อถูกเจ้าหน้าโยนทิ้ง เขาบอกว่าห้ามเอาไข่และเนื้อทุกชนิดจากอินเดียเข้าไปภูฏาน เพราะไข้หวัดนกกำลังระบาด แต่ใครจะเอาออกไปไม่ว่า มันน่าเอาอย่างจริงๆ วันนั้นเดินมากจนยกขาไม่ค่อยขึ้น

วันที่ 3 ส.ค. ไม่ได้เข้าที่ทำงาน แต่ขอให้เจ้าหน้าที่พาไปจับยุงในป่า เพราะไหนๆ ก็มาที่นี่แล้ว จึงต้องเตรียมอาหารไปกินด้วยสองมื้อ เขาจึงทำปิ่นโตให้ ใส่ตะกร้าพลาสติกไป ดีที่เราไม่ได้หิ้วไปเอง ปล่อยให้เจ้าหน้าที่สามคนช่วยกันหิ้วคนละอย่างสองอย่าง ทางผ่านแวะบ้านที่ไปจับยุงวันก่อน เห็นเด็กเล็กๆ วิ่งเล่นกันหลายคน ถามไปถามมาบ้านนี้มีแม่เด็ก 4 คน ล้วนแต่เป็นลูกสะใภ้ นับรวมกันแล้วบ้านนี้อยู่ก้น 22 คน โห! แค่บ้านยกพื้นขนาดประมาณ 6×5 เมตร อยู่กันได้ไงเนี่ย

วันนั้นลากรองเท้าบู๊ตออกจากที่พักเพราะคาดว่าต้องลุยน้ำและโคลน แรกๆ ก็ดูทะมัดทะแมงดี พอถึงแม่น้ำ โอ้โห! แม่น้ำเหรอเนี่ย มันกว้างเกือบกิโล ส่วนใหญ่มีแต่ทรายและหินก้อนใหญ่ๆ แต่บางช่วงมีน้ำไหลเชี่ยวและลึกมาก ช่วงที่เริ่มข้ามใหม่ๆ ก็ต้องลุยกันเลย น้ำสูงเท่าเข่า ทำให้น้ำและทรายเข้าในรองเท้า ทีนี้เริ่มไม่สนุกเลย การข้ามน้ำที่เชี่ยวแบบนี้ ต้องอาศัยเรืออย่างที่เห็น ทีแรกนึกว่ามีแค่นี้ที่ไหนได้ เมื่อข้ามไปเสร็จต้องลุยน้ำไปอีกและนั่งเรืออีกลำ กว่าจะข้ามไปพ้นอีกฝั่งเล่นเอาเสียวสองที หากน้ำมากกว่านี้โดยเฉพาะหลังฝันตกหนักใหม่ อย่าหวังว่าจะข้ามได้ต้องเหาะไปอย่างเดียว

เรือข้ามไปอีกฝั่ง น้ำที่เห็นเชี่ยวและลึกมาก

พอขึ้นฝั่งก็ต้องเดินไต่ขึ้นฝั่งที่สูงชันเล่นเอาขาสั่น ทีนี้รองเท้ามันเริ่มไม่ไหวแล้ว พวกที่ไปด้วยก็ดีนะช่วยกันดึงช่วยกันถอดรองเท้าออก มันคับจริงๆ รวมไปถึงช่วยกันถอดถุงเท้า บิดให้แห้งหมาดๆ และใส่ให้เสร็จ ช่างดีอะไรอย่างงี้ แต่ก็ใช่ว่าจะเดินราบรื่นเพราะรองเท้ามันบีบนิ้วจนเจ็บ จึงถอดใส่รองเท้าแตะเดินสบายกว่าเยอะ กว่าจะถึงสถานีอนามัยซึ่งเป็นที่พักรวมเวลาสองชั่วโมง

บ่ายโมงเปิดปิ่นโตทานกลางวัน มีข้าวผัดแข็งๆ ไม่อร่อย สลัดกะหล่ำและเนื้อทอดแข็งๆ กลัวฟันจะพังเอาแต่ก็ได้ออกกำลังเหงือก รู้งี้ขอผัดข้าวเองดีกว่า ทานเสร็จก็ไปสำรวจลูกน้ำจนถึงบ่ายสี่ โดนแดดเผาจนหน้าและคอแดงไปหมด(ตอนที่เขียนนี้เริ่มดำแล้ว) โชคดีได้เก็บตัวอย่างตัวอ่อนริ้นดำกลับไปด้วย (ภายหลังพบว่าที่เราเก็บไปนี้เป็นชนิดใหม่ของโลก 2 ชนิดจาก 11 ชนิดใหม่ที่พบในภูฏาน) หกโมงกว่าก็ทานข้าวที่เหลือ สลัดเริ่มมีกลิ่นไม่ดี เลยทิ้งไป เหลือแต่ข้าวผัด ซึ่งตอนนี้เริ่มแข็งกว่าตอนเที่ยงและเนื้อที่แข็งคงที่อยู่แล้ว ดีกว่าหิว ส่วนพวกหุงข้าวกินกับพริกต้มเนยดูท่าทางอร่อย

ทุ่มกว่าออกไปจับยุงตามคอกวัว ชาวบ้านบอกว่าอย่ากลับเกินสามทุ่มเพราะมีช้างเกเรจากอินเดีย 17 ตัวชอบมากินพืชผลชาวบ้าน บางทีก็พังบ้านเข้าไปกินเกลือในครัว อาทิตย์ก่อนเล่นสวนกล้วยพังเป็นแทบ และเตะผู้หญิงขาหักไปคน ฟังแล้วเสียว

กลับจากจับยุงก็มานั่งแยกยุงต่อจนถึงสี่ทุ่มกว่า น้ำไม่มีอาบเพราะท่อที่ต่อไว้บนเขาห่างไปหลายกิโลพังเพราะถูกน้ำซัด แต่ก็ไม่เดือดร้อนเพราะก่อนมากะว่าไม่อาบน้ำอยู่แล้ว และไม่เห็นมีใครอาบสักคน เลยใช้วิธีอาบแห้งเลียนแบบญี่ปุ่น เอาผ้าขนหนูชุบน้ำเช็ดให้ทั่วหน้าตา แขนขาและท่อนบน ก็ช่วยให้สบายขึ้นเยอะแม้วันนี้จะอาบเหงื่อมาจนเสื้อที่ใส่มีขี้เกลือจับ ดีที่เขาให้นอนบนเตียงคนไข้ สบายกว่าไปจับยุงในเมืองไทยที่นอนตามกระท่อมหรือศาลาวัดเมืองไทยเป็นไหนๆ เปิดพัดลมไล่ยุงทั้งคืน ซึ่งก็ไม่ค่อยมียุงเท่าไหร่ ดึกๆ สะดุ้งตื่นก็มองออกไปข้างนอกเผื่อจะเห็นช้างเกเรมั่งแต่ก็เงียบ วันนี้มันคงไปอาละวาดที่อื่น คืนนั้นหลับๆ ตื่นๆ แต่ก็ฝันถึงพ่่อและแม่ด้วยสิ สงสัยเป็นห่วงเรา (เขียนถึงตอนนี้รู้สึกจุกที่คอชอบกล)

ตื่นตอนหกโมง พวกยังไม่ตื่นสักคน แปรงฟันเสร็จก็ชงกาแฟกิน สักพักพวกนั้นตื่นและทำอาหารกิน มีพริกสีแดงต้มกับน้ำมันเกลือและเนย แค่นี้จริงๆ ตักข้าวกันคนละชามโตกินกันอย่างอร่อย ยังมีหน้ามาชวนเรากินอีก คนที่นี่ทานข้าวกันจุจริงๆ มิน่าแต่ละคนพุงปลิ้นทั้งนั้น กินเสร็จก็ชวนกันกลับ ตอนนี้นิ้วเท้าเราเริ่มมีตุ่มน้ำแตก ข้ามน้ำไปได้ก็ต้องเอารองเท้าแตะมาใส่แทน ทีแรกกะว่าจะเอารองเท้าบู๊ตกลับเมืองไทยด้วยเพราะมันใส่กระชับดี แต่ตอนนี้เปลี่ยนใจแล้ว กลับมาถึงก็อาบน้ำ ซักผ้า บอกแม่บ้านทำอาหารเที่ยงเร็วหน่อยเพราะหิวมาก และนอนหลับไปชม.

วันที่ 4 ส.ค. วันอาทิตย์มีตลาดนัดในเมือง เดินไปดูตอนสายๆ ไม่เห็นมีอะไรน่าสนใจ ซื้อผลไม้ดูเหมือนลูกแพร แต่เปรี้ยวและแข็ง ไม่อร่อย เลยกลับมานอนดูทีวี พักผ่อนเอาแรงเพราะมีโปรแกรมไปเมือง Phunesholing แต่เช้า

ตลาดใน Gelephu

ร้านขายปลา ไก่

 

วันที่ 5 ส.ค. ตื่นแต่เช้า เก็บของหมดเรียบร้อย รอรถมารับตอนแปดโมง รอจนจะเก้าโมงพวกเล่นโทรมาบอกว่าวันนี้ยังไม่ไป เพราะเบิกงบไม่ทัน อ้าวทำไมเพิ่งมาบอก ถามไปถามถึงรู้ว่าเจ้าหน้าที่อีกคนมันลืมบอกเราตั้งแต่วันอาทิตย์ มันน่าจริงๆ เลยไปทำงานตามปกติ แต่พวกก็มาบอกอีกว่ามีเรื่องด่วนจะพาไปสอบสวนโรคไข้เลือดออกตอนบ่ายสามที่เมือง Dagana อยู่ครึ่งทางไปเมือง Thimphu ต้องนั่งรถไปอีกหกชม. ฟังแล้วเซ็งจังแต่ก็ต้องไป หนทางก็วกไปเวียนมาเหมือนเข้าป่าเปลี่ยว ใกล้ค่ำเจอค่างวิ่งตัดหน้า น่าตื่นเต้นดี เวลาผ่านไปก็เริ่มมืด แวะกินมาม่าต้มที่ด่านแห่งหนึ่ง กว่าจะไปถึงเล่นเอาสามทุ่มกว่า ออกจากรถก็รู้สึกถึงความหนาวมาทันที ไม่ได้เตรียมเสื้อแขนยาวมาด้วยสิ ก็พวกเล่นไม่บอกอะไรเลย ได้กินข้าวตอนเกือบสี่ทุ่มที่บ้านหลังหนึ่ง จำได้ว่ามีปลาจากแม่น้ำตัวไม่ใหญ่นักแต่ทอดได้อร่อยมาก หรือว่าเราหิวก็ไม่รู้ ได้บ้านพักรับรอง มีที่นอนดีๆ ห้องน้ำก็โอเค แต่ไม่ได้อาบน้ำอีกตามเคยเพราะน้ำเย็นมาก

วันที่ 6 ส.ค. ตื่นมาตอนเช้าเพิ่งเห็นว่าแถวนี้วิวดีเหมือนกันแฮะ เมื่อคืนมืดไม่เห็นอะไรเลย เห็นบ้านพักของราชวงศ์อยู่ถัดไป บรรยากาศดีมาก เดินเล่นถ่ายรูปมาเรื่อยๆ อารมณ์ที่ไม่จอยตอนกลางคืนเริ่มดีมาเยอะ เห็นบ้านตามเขาและ ซอง บนเขา ถนนหนทางตอนเช้าก็เงียบสงบ ชอบมากเลยเหมือนเดินในเมืองนิยาย เดินสำรวจลูกน้ำยุงลายไปเรื่อยๆ ไม่เจอสักตัว ไปทานโรตีที่บ้านเมื่อคืน ผนผนังสักเกตเห็นรูปกษัตริย์ราชบิดาเจ้าชายจิกมีกับพระมเหสีทั้งสี่เลยถ่ายมาให้ดู

ปีหน้า (2008) ภูฏานจะมีการฉลองสามอย่าง คือ

  1. ฉลองมงกุฎกษัตริย์จิกมีองค์ที่ 5
  2. ฉลองราชวงค์จิกมีครบ 100 ปี
  3. ฉลองการเป็นประเทศประชาธิปไตย มีการเลือกตั้งครั้งแรก

ตอนเช้า วิวสวยมาก

ตึกใหญ่ด้านหน้าเป็นที่พักราชวงศ์ ส่วนเราพักหลังเล็กที่เห็นผ่านประตู

วิวตอนเช้าใกล้ๆ ที่พัก เห็นซองอยู่บนเขา น่าอยู่นานๆ จัง

ซองเมือง Dagana อยู่ใกล้ๆ ที่พัก สวยมาก

ทางเข้าหมู่บ้าน ให้เดินเข้าทางซ้ายเท่านั้นเหมือนการเดินวนขวา  ส่วนช่องทางขวา(วนซ้าย)สำหรับคนตาย

ร้านค้าริมถนน เล่นตากเนื้อบนหลังคาเลย  เขาด้านหลังต้องแสงแดดตอนเช้าสวยมาก

The 4th King กับมเหสีทั้งสี่

โรงเรียนประถม

ต้นชิงเห่า

บ้านทำด้วยดิน

เสร็จแล้วก็แวะไปดูโรงเรียนที่เด็กเรียน ดูน่ารักดี สายๆ เดินทางไปอีกหมู่บ้านที่เขาว่ามีเด็กเป็นไข้เลือดออก นั่งรถไปอีกสองสามชั่วโมง เจอบ้านหลังหนึ่งทำด้วยดินแบบเนปาล มุงด้วยหญ้าบางอย่าง อยู่อย่างเรียบง่าย มีต้นแพรใหญ่อยู่ใกล้บ้าน แก้กระหายได้แม้รสชาติไม่ดีเท่าไหร่ บ่ายก็รีบกลับ Gelephu ใช้เวลาอีก 6 ชม. ระหว่างทางแวะเก็บตัวอ่อนริ้นดำและตัวแม่ที่มากัด (ภายหลังพบว่าเป็นชนิดใหม่ของโลกอีกเหมือนกัน)  กว่าจะมาถึงที่พักก็เกือบสองทุ่ม ทานข้าวเสร็จต้องรีบนอนเพราะพรุ่งนี้เช้าต้องไป Phunesholing ต่อ ฟังแล้วเมื่อยแทนป่าว

วันที่ 7 ส.ค. ต้องตื่นแต่เช้าเช่นเดิม กะว่าวันนี้จะได้เห็นเมืองอินเดียยาวๆ เสียที พวกก็มารับตามเวลาก่อนแปดโมง แต่ข่าวร้ายเพราะพวกแขกแถวอัสสัมประท้วงปิดถนน แทนที่จะได้ผ่านเข้าทางอินเดียไปเมือง Phunesholing ซึ่งจะใช้เวลาแค่ 4-5 ชม. ต้องย้อนกลับไปทางเมืองหลวง Thimphu ซึ่งจะใช้เวลา 12 ชม. เขาบอกว่ามีประท้วงแบบนี้ประจำ เดือนละสองสามหน ดันมาเป็นวันนี้เสียด้วย ทีวันก่อนก็ไม่ประท้วง

ตกลงวันนั้นก็ต้องนั่งรถอีกทั้งวัน เป้าหมายแรกคือ เมือง Gedu อยู่ในเขต Chhukha นั่งรถมาทั้งวันผ่านเมืองหลวง Thimphu เลยต่อไปทางใต้ มีแอปเปิ้ลขายข้างทางมากมาย ที่นี่มีต้นแอปเปิ้ลเยอะ มันฝรั่งก็แยะ ส่งขายเมืองขายอีกต่างหาก นั่งรถจนค่ำมืดก็ยังไม่ถึงที่พักเสียที หนทางมืดเริ่มมีแต่หมอกหนาทึบแทบจะไม่เห็นถนน  ด้านซ้ายก็เป็นเหวลึก มีรถบรรทุกผ่านไปมาหลายคันเนื่องจากเป็นทางไปสู่เมืองหลวง ได้แต่ค่อยๆ คลานมา หายใจไม่ค่อยทั่วท้องเลย ตอนสองทุ่มแวะดื่มน้ำชาในร้านข้างทาง บรรยากาศมืดๆ เหมือนร้านอาหาร พอประทังความหิวได้บ้าง จนกระทั่งสามทุ่ม มาถึงบ้านพักรับรองของโครงการไฟฟ้าพลังน้ำ ไฟฟ้าสว่างทั่ว มีบ้านหลายหลัง ใหญ่โต ร้านค้าปิดหมดแล้ว ดีที่เขาเก็บอาหารเย็นไว้ให้บ้าง มีแต่ผักต้ม ก็ดีกว่าไม่มีกิน อากาศเย็นมากไม่ได้อาบน้ำอีกตามเคย ตื่นมาแต่เช้าก็เดินไปดูร้านค้าตามถนน

บ้านพักรับรอง ตาหยีเพราะแดดครับผม

ร้านค้าข้างถนนเมือง Gedu

หน้าร้าน แท่งในถังคือ หวายอ่อน ถุงขาว ๆ คือ เนยแข็ง

กินข้าวเช้ากับพริกต้มกับเนย อาหารง่ายๆ ของคนที่นี่ และเคยเห็นเขากินวันก่อน วันนี้ต้องมากินเสียเอง ไม่ต้องถามนะว่าอร่อยหรือเปล่า กินเสร็จก็นั่งรถไปอีกเมืองใกล้ๆ ชื่อ Arikha พื้นที่นี้มีมาลาเรียและไข้เลือดออก ฟังแล้วน่าสนใจ อยากเห็นหมู่บ้านที่มีมาลาเรียซึ่งต้องเดินเขาอย่างเดียวอยู่ไกลลิบๆ เขาว่าเดินสัก 3 ชม.ก็ถึง ถามเราจะไหวหรือไม่ ถ้าเป็นทางราบคงไม่เท่าไหร่แต่นี่ขึ้นเขาลงเขากว่าจะถึง มันจะกลายเป็นสามชั่วโมงแม้วมากกว่า ไหนๆ ก็มาแล้ว ได้เดินเขาจริงๆ ก็ทีนี้แหละ คิดว่าคงไม่เท่าไร เลยตกลงไป เพราะแถวนี้เป็นมาลาเรียกันเยอะ ยังไม่รู้เลยว่ายุงอะไรนำเชื้อ มันท้าทายดี ตอนไปทำงานที่แม่ฮ่องสอนก็เดินไม่น้อย แค่นี้คงไม่เป็นไร

หมู่บ้านบนเขาที่จะไป เห็นลิบๆ

ตอนเที่ยงแวะไปทานข้าวที่ร้านแห่งหนึ่ง สั่งเป็นชั่วโมงกว่าจึงได้กิน กินเสร็จทุกคนหาซื้อร่มติดมือ วันนี้ได้บอดี้การ์ดคนใหม่ ชื่อ คุนซัง ฟังๆ ดูคล้ายญี่ปุ่น รับอาสาสะพายของแทน เราเลยเดินกางร่มอย่างเดียว ออกเดินทางตอนบ่าย เริ่มด้วยการไต่ลงเขา สวนทางกับพ่อแม่ลูกครอบครัวหนึ่ง คุยกันพักเดียวก็เดินต่อ ทางเดินแคบๆ น้ำเฉอะแฉะ เล่นเอาขาเริ่มสั่น มีสะพานแขวนน่าหวาดเสียวข้ามลำธาร แล้วเริ่มไต่ขึ้นเขา ทีนี้มีแต่ขึ้นกับขึ้น แดดร้อนมากจริงๆ กางเกงขายาวมันดึงทำให้เดินขึ้นเขาลำบากมากขึ้น มิน่าพวกนี้เล่นแต่กางเกงขาสั้น ดีที่เราเอาติดไปด้วยตัว รองเท้าเดินป่าก็ไม่ได้เตรียมมา สงสารร้องเท้าคู่ละหมื่นที่ใช้เดินในเมือง มันจะรอดเหลือชิ้นดีกลับเมืองไทยหรือเปล่าก็ไม่แน่ใจ หลายครั้งที่เผลอไปสัมผัสใบไม้เตี้ยๆ รู้สึกปวดแสบปวดร้อน มีขึ้นอยู่ทั่วไป ทากมาดูดเลือดที่หน้าแข้งตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ มารู้ก็ตอนเริ่มคันแล้ว เลือดไหลเป็นทาง อีกตัวกำลังไต่ที่ถุงเท้า ต้องหยุดทายากันทากจึงเริ่มเดินต่อ เหงื่อเริ่มท่วมเสื้อและหน้า นึกในใจตลอดทางตูจะรอดหรือเปล่าเนี่ย พวกก็บอกให้เดินช้าๆ พักไปเรื่อยๆ น้ำก็ดื่มไปตลอด ขาเริ่มก้าวไม่ออก นับอายุเราก็แก่ที่สุดในนี้ พวกนี้เดินเขากันไม่เหนื่อยหรือยังไงก็ไม่รู้ แบกของอีกต่างหาก นึกในใจไม่น่าซ่าเลยตู

สะพานแขวนสูงมาก

พวกที่ไปด้วยกัน คนนั่งหน้าเป็น คุนซัง บอดี้การ์ดแรงดี

เหนื่อยใจจะขาด ข้างหลังไกลๆ เป็นที่ที่จากมา

เวลาผ่านไปสามชั่วโมงเหมือนตกนรก มาถึงหมู่บ้านครึ่งทาง หากจะไปอีกหมู่บ้านเป้าหมายต้องเดินอีกสามชั่วโมง เพราะเขาบอกว่าเราเดินช้า ดูมันว่า พวกโทรปรึกษาทางหัวหน้าที่ Gelephu เขาคงกลัวเราตายเสียก่อนเสร็จงานเลยให้เอาแค่นั้นพอ ทานข้าวเย็นกับผักต้มพริก รสชาติคล้ายๆ จอผักกาดบ้านเรา แต่ไม่อร่อยเลย เสร็จแล้วสำรวจยุงลายแถวนั้นนิดหน่อยไม่น่าสนใจเท่าไหร่ เลยให้สองคนอยู่จับยุงที่นั่น ส่วนเรากับเจ้าหน้าที่อีกสองคนเดินกลับลงมาจับยุงกลางทาง ใกล้กับกระท่อมที่ชาวบ้านเคยป่วยเป็นมาลาเรียหลายคน เจอกวางเขาเป็นกิ่งสวยวิ่งผ่านด้วย วิวสวยมากจริงๆ ดีที่ฝนไม่ตก ตั้งเต๊นท์เสร็จก็ไปอาบน้ำที่ลำธารแต่น้ำเย็นมาก เลยอาบแบบญี่ปุ่นอีกครั้ง เมื่อวานก็ไม่ได้อาบ วันนี้กลิ่นตัวจึงน่าล่อยุงเป็นพิเศษ ชาวบ้านที่อยู่ตรงนั้นอุตส่าห์จะหาข้าวให้กิน แม้จะไม่ค่อยมีอะไรก็ตาม ใจดีจัง แต่เรากินกันแล้ว เขาจึงเอาน้ำชาใส่น้ำตาลมาให้ อร่อยอีกแบบ พวกบอกว่าไม่เคยจับยุงโดยใช้คนเป็นเหยื่อ วันนั้นได้ยุงก้นปล่อยหลายตัว ภายหลังจึงรู้ว่าบางตัวไม่เคยเห็นมาก่อนในชีวิต  จับยุงเสร็จสี่ทุ่มก็เข้านอน ดีที่เอาเสื้อแขนยาวมาด้วยจึงไม่หนาว แต่พื้นที่นอนมันมีแต่หิน แม้จะมีถุงนอนรองอีกชั้นก็นอนลำบาก หลับๆ ตื่นๆ ตลอดคืน แต่สังเกตว่าคนหนึ่งหายไปตอนดึกเป็นชั่วโมง บอกว่าไปส้วม แต่เพื่อนมากระซิบบอกอีกวันว่ามันแอบไปนอนกับเมียชาวบ้าน คนที่เดินสวนทางกันตอนเดินขึ้นเขา ผัวไปนอนที่อื่น เสร็จแล้วจ่ายตังให้ด้วย เขาบอกว่าเป็นเรื่องธรรมดา ถ้าพอใจกันก็นอนด้วยกันได้ วัฒนธรรมของคนที่นี่แปลกแฮะ ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ

พอสว่างจึงเดินกลับ ตอนนี้เริ่มปวดหน้าขาและไม่ค่อยจะเดินได้เท่าไหร่ เล็บเริ่มขบ แต่ก็ต้องฝืนเดินลงมา เจอลิงฝูงหนึ่งก่อนข้ามสะพานแขวน ร้องกันเสียงดังลั่น กว่าจะกลับขึ้นมาถึงที่รถรออยู่ก็เล่นเอาเหงื่อท่วม เหนื่อยสุดๆ ไปทานข้าวเช้าเสร็จก็เข้าบ้านพัก น่าอยู่จัง หันหน้าออกเห็นเขาสูง วันนี้ต้องซักผ้าที่ดองมาสี่ห้าวันและอาบน้ำทบต้นทบดอก คุนซังรับอาสาจะซักผ้าให้ตลอด แต่วันนี้เกรงใจเพราะแกคงเหนื่อยกับแบกของมาสองวัน อาบเสร็จก็มานั่งแยกยุงจนถึงบ่ายสาม หมดแรงนอนไปถึงเย็น ทานข้าวเสร็จปล่อยพวกไปจับยุงเอง ส่วนเราก็มานั่งเขียนให้เสร็จตอนนี้ พรุ่งนี้จะไป Phunesholing เมืองชายแดน ….

เต๊นท์กลางเขา