ไปทำวิจัยในภูฏาน(5)

วันที่ 24 ส.ค. วันที่กำหนดไว้ว่าจะออกเดินทาง ตั้งแต่ตี 5 ไป Samdrupjongkhar จังหวัดสุดชายแดนทางตะวันออก ห่างไป 300 กว่าโล แต่คืนวันที่ 23 ตอนสองทุ่ม พวกแจ้งว่ามีความไม่สงบในอัสสัมอีกละ อาจมีการปิดถนน ต้องเลื่อนเดินทางออกไป เอาอีกแล้วแขกเรา คราวก่อนก็ที เราจึงนอนอย่างสบายใจ ตื่นตามปกติ สั่งอาหารเช้ามากิน ตอนแปดโมงกว่า พวกมาบอกว่าเดินทางได้แล้ว ทหารคุมเหตุการณ์ได้ เราจึงต้องรีบกินและออกเดินทางตอนเก้าโมง การเดินทางต้องออกทางแค้วนเวสเบงกอลและผ่านแคว้นอัสสัม ช่วงอัสสัมต้องมีรถตำรวจพร้อมอาวุธนำขบวนคุ้มกันความปลอดภัย แคว้นอัสสัมมีพวกที่ต้องการแบ่งแยกดินแดนที่มีความแค้นกับภูฏานที่โดนไล่ออกนอกภูฏานในปี 2003 นอกจากนี้ยังมีแก๊งคอยดักทำร้ายปล้นจี้รถที่ผ่านไปมา พอจะขึ้นรถพวกให้เราไปนั่งแถวหลังตรงกลาง เพราะนั่งหน้าอาจไม่ปลอดภัย เคยมีคนโดนยิงตายมาแล้ว ฟังดูแล้วเริ่มใจไม่ค่อยดี ตูจะรอดป่าวเนี่ยะ ระหว่างที่นั่งรถเข้าเขตอินเดีย เจอทหารมากกว่าปกติ พวกบอกให้เรานั่งในรถ ไม่อยากให้พวกนี้รู้ว่าเราเป็นใคร เพราะจะยุ่งยากเรื่องการเข้าเมือง เนื่องจากไม่ได้ผ่านการตรวจคนเข้าเมือง ถ้าแขกมันถามก็ให้พูดอะไรก็ได้ ดูให้มันเหมือนภาษาภูฏานหน่อย เมื่อแขกงงได้ที่แล้วค่อยตามด้วยภาษาอังกฤษ ทำยังกะเราเป็นพวกหลบหนีเข้าเมืองยังไงชอบกล นึกในใจเอาไว้แล้วจะเล่นคำเมืองปนญี่ปุ่น มีหลายคำที่คล้ายๆ กัน และใบหน้าเรามันก็คล้ายแบบภูฏานอยู่แล้ว สงสัยหน้าเรามันจะขายได้ทั่วเอเชีย (ยกเว้นแขก) ตอนไปญี่ปุ่นหน้าเราก็ให้เหมือนกัน เหมือนกว่าคนญี่ปุ่นบางคนเสียอีก

รถเริ่มมุ่งหน้าไปทางตะวันออก แรกๆ ก็ยังไม่เท่าไหร่ ถนนก็พอวิ่งเร็วๆ ได้บ้าง แต่พอเข้าเขตอัสสัม ถนนเริ่มขรุขระและมีฝุ่นตลบ รถบรรทุกก็เยอะแยะเต็มถนนไปหมด วิ่งได้ไม่เกิน 30 กม./ชม. ไม่นานก็เจอขบวนรถจอดรอเป็นแถวยาว เราต้องไปต่อแถวโดยมีรถตำรวจนำข้างหน้า ทำให้นึกถึงเมืองไทยสมัยก่อนที่ถนนบางสายมักมีการดักปล้นประจำ ตลอดทางมีตำรวจทหารยืนถือปืนข้างทางเป็นระยะๆ ดูแล้วเหมือนมีเหตุการณ์อะไรบางอย่าง ดูแล้วใจชื้น คงไม่มีอะไร มารู้จากทีวีตอนค่ำว่า วันก่อนทหารได้ฆ่าพวกต่อต้านไปคนและยืดอาวุธปืนได้มากมาย แต่ที่มันแย่ก็คือ นั่งไปสี่ห้าชั่วโมง ก้นเริ่มเมื่อย ร้อนก็ร้อนแถมฝุ่นตลบตลอด แอร์รถก็ไม่เย็นนัก คงไม่เคยล้างแอร์กันเลย ไปแวะทานกลางวันตอนบ่ายสอง เป็นร้านอาหารแขก คนเยอะและดูวุ่นวาย มื้อนั้นกินอาหารแขกเต็มๆ เห็นเขาใช้มือตักข้าวใส่ปากกันเป็นแถว ส่วนเราขอช้อน เพราะขืนใช้มือแกงกะหรี่แพะคงไหลลงข้อศอก กินกันเร็วมากเพราะต้องนั่งรถต่ออีกไกล การขับรถในเมืองแขกมันไม่ง่ายเลย ถนนก็แคบ สวนกันต้องหลบ อีกสิบปีคงมีถนนสี่เลนเชื่อมเอเชียเพราะเห็นกำลังก่อสร้างกัน สิ่งที่ต้องระวังมี 4 อย่างคือ หลุม วัว แพะ และแขก มันหลบยากพอๆ กันเลยขอบอก เรื่องหลุมคงไม่ต้องอธิบาย แต่สำหรับคนขับเราไม่มีปัญหาเพราะอีคงชินกับการขับในดอยภูฏานโค้งไปโค้งมา ขนาดมาขับทางตรงอียังขับโค้งไปมาได้เหมือนกัน เพราะคอยหลบหลุม บางทีต้องหลบหลุมไปวิ่งทางขวา ส่วนคันที่สวนมาดันวิ่งมาทางซ้าย ไม่รู้จะหลบไปทำไม ไม่อยากเชื่อเลยว่านี่คือถนนในอัสสัม วัวที่นี่มันคงหูหนวกและสายตาสั้น ไม่ว่าจะบีบแตรดังยังไงไม่เคยเห็นมันสะดุ้งสะเทือน ขนาดรถจะชนมันอยู่แล้วก็ยังเฉย รถต้องหลบมันตลอด มันคงคิดว่ามีเส้นใหญ่ ขนาดคนยังไม่กล้ากินมันเลย แพะค่อยยังชั่วหน่อยตัวมันเล็กและวิ่งหลบเร็ว แต่มันมีตลอดทางและเดาใจยากว่ามันจะหยุดหรือวิ่งตัดหน้า ส่วนแขกนั้นมีหลายประเภท ประเภทแรกคือ ขี่จักรยาน มียั้วเยี้ยไปหมด แถมยังขี่ส่ายไปมา เกือบเฉี่ยวไปหลายคัน คนที่เดินตามข้างถนนก็ดูจะไม่ค่อยกลัวโดนเฉี่ยวหรือยังไงไม่รู้ บางทีดูเหมือนจะผ่านไปได้ยากเพราะคนเต็มไปหมด รถที่นี่บีบแตรกันดังลั่นเป็นเรื่องธรรมดา ไม่เว้นแม้จักรยาน หากเป็นเมืองไทยเขาเรียกว่าบีบหาเรื่อง

ระหว่างที่นั่งรถมาเห็นรถเมล์อยู่คันนำหน้า ข้างหลังรถมีสติกเกอร์ติดหลายแผ่นเป็นแถว เป็นสัญลักษณ์และคำอธิบาย ดังนี้ ติดแอร์ มีตู้เย็น ที่นั่งปรับได้ มีไฟส่องเฉพาะตัว มีเสียงเพลง และมีเบรก ABS ไม่รู้เหมือนกันว่ารถคันนี้มันเคยมีหรือติดไว้โก้ๆ เพราะดูสภาพแล้วมันเก่าๆ ยังไงชอบกล เห็นคนเปิดหน้าต่างรับฝุ่นกันเป็นแถว ส่วนภายในจะมีอย่างที่ว่าหรือเปล่าไม่แน่ใจ (คงไม่มี) ส่วนเรื่องเบรก คงไม่จำเป็นต้องดีนักเพราะมันวิ่งยังกะเต่า

ท้ายรถเมล์

ตลอดทางที่นั่งรถเข้าอินเดีย ได้เห็นสภาพบ้านเมืองชนบทของเขาแล้วรู้สึกสงสารมากยากจะอธิบาย มันช่างแตกต่างจากเมืองใหญ่อื่นๆ ของอินเดีย บ้านเรือนบางแห่งก็ดูเหมือนเป็นแค่เพิงพักชั่วคราว เวลานั้นมีน้ำท่วมในอัสสัมอีกด้วย มิน่าคนที่นี่ถึงไม่ค่อยพอใจรัฐบาลอินเดียนัก นั่งรถจนถึงเย็นก็ยังไม่ถึงเขตภูฏาน รถตำรวจที่นำมาก็ไปไหนแล้วไม่รู้ พวกเริ่มกังวลว่าหากค่ำจะไม่สามารถเดินทางต่อได้เพราะจะอันตราย รถนำขบวนสำหรับช่วงนี้ก็หมดตั้งแต่บ่ายสามกว่า อาจต้องหาที่พักในเขตอินเดีย เล่นเอาหายใจไม่ค่อยทั่วท้องเลย แต่ก็แล่นต่อไปเรื่อยๆ จนค่ำ สองข้างทางไม่มีไฟฟ้า โดนแขกโห่บ้างเป็นระยะ แม้แต่บ้านนอกคนยังยั๊วเยี้ยเต็มไปหมด มิน่าประชากรจึงเป็นพันล้าน ใกล้ค่ำเห็นค้างค้าวแม่ไก่ตัวโตบินบนท้องฟ้าหลายตัว เจอด่านอีกสองแห่งแต่ก็ยอมให้เราผ่าน ในที่สุดก็เห็นแสงไฟอยู่ไกลๆ พวกบอกว่านั่นคือเขตภูฏาน ผ่านเข้าเขต Samdrupjongkhar ของภูฏานเกือบสองทุ่ม โล่งใจมากเลย นับเวลานั่งรถสิบกว่าชั่วโมง โครตทรมานก้น คืนนี้ได้โรงแรมคืนละพัน แพงจัง ดีที่มีแอร์และทีวี เมืองนี้มีเคอร์ฟิว สามทุ่มครึ่งถึงตีห้า เนื่องจากเป็นเขตที่เคยมีพวกอัสสัมเข้ามาฝังตัว ตอนนี้น่าจะไม่มีแล้ว

พวกเล่าว่าเมืองนี้เป็นต้นกำเนิดของประเพณี night hunting กล่าวคือ ผู้ชายจะออกล่าหาผู้หญิงตอนกลางคืน โดยสาวเจ้าจะไปรออยู่ตามกระท่อมหรือป่าที่นัดหมายกันตั้งแต่กลางวัน หากชอบใจกันก็สามารถได้เสียกันเลย มั่วกันดีจัง และเมื่อสาวเจ้าท้องขึ้นมาก็ชี้เอาว่าใครจะเป็นพ่อเด็ก หากหนุ่มเจ้าไม่รับก็ต้องเสียค่าปรับหลายหมื่น คุนซังบอกว่าเขาก็โดนไปสองหมื่น

วันที่ 25 ส.ค. ไปพบเจ้าหน้าที่โรงพยาบาล แล้วสำรวจลูกน้ำยุงลาย ที่นี่ดีแฮะ เขาพ่นยาฆ่าลูกน้ำจนเกลี้ยงหาแทบไม่เจอ พวกกระซิบว่าที่นี่มันรู้ล่วงหน้าแล้วว่าเราจะมา เลี้ยงข้าวกลางวันยังไม่พอ แถมยังฝากเหล้าไปให้เรากินในป่าอีก เอาใจจังคงกลัวเราเอาไปฟ้องสำนักงานใหญ่ ตอนบ่ายนั่งรถต่อไปหมู่บ้าน Belemsharang เป็นบ้านนอก ใช้เวลาสามชั่วโมงกว่า ใกล้จะถึงได้ยินเสียงฟ้าร้องดังสนั่นเป็นระยะ ฝนก็ตกหนัก เสียงฟ้าร้องน่ากลัวมาก ชาวบ้านบอกว่า ฟ้าเพิ่งผ่าต้นไม้ข้างทางในหมู่บ้านจนเปลือกแตก สายฟ้ายังวิ่งต่อเข้าไปบ้านหลังหนึ่งที่อยู่ใกล้ๆ จนหม้อข้าวระเบิด ชาวบ้านบอกว่าเห็นมันวิ่งไปทางบนผิวดินเหมือนงู น่ากลัวจริงๆ ใกล้ค่ำก็ไปพักที่บ้านญาติเจ้าหน้าที่คนหนึ่ง รอบๆ เป็นท้องนาและติดป่าทึบ ไปถึงก็ค่ำแล้ว

บ้านนี้มีผู้ชายเฝ้าอยู่ มีลูกเล็กๆ สามคน ชายสองหญิงหนึ่งซึ่งน่ารักมากและช่างพูดจัง อีหนูพูดเนปาล เราพูดอังกฤษ คุยได้แค่พักเดียวต้องเปลี่ยนมาใช้ภาษาใบ้ ค่อยรู้เรื่องกันหน่อย ส่วนแม่เด็กหนีไปกับผู้ชาย บางวันพ่อไม่อยู่ เด็กได้แค่หุงข้าวกิน ทำกับข้าวไม่เป็น ฟังแล้วรู้สึกแย่จัง วันนั้นพกแอปเปิ้ลไปด้วยเลยแจกคนละลูก ไฟฉายเราทั้งสองกระบอกที่เอาไปด้วยดันเปิดไม่ออกพร้อมๆกัน ไม่ได้เอาอะไหล่มาด้วย เหมือนขาดของคู่ใจที่ใช้มาเดือนหนึ่งพอดี หันมาใช้ของจีนที่พวกใช้อยู่ไฟมันออกมาเหมือนจะขาดใจ ตกดึกได้อาบน้ำกลางแจ้งได้บรรยากาศอีกแบบ กลางคืนได้ที่นอนมีเบาะและมุ้ง พวกกางให้เสร็จเรียบร้อย แม้จะมีแต่ฝุ่นรอบห้อง ส่วนพวกนอนกองกันอีกห้องติดๆ กัน กรนดังเหมือนฟาร์มหมู คืนนั้นอากาศร้อนอบอ้าว ดึกๆ สุะดุ้งตื่นเพราะรู้สึกมีอะไรมาไต่ขา ทีแรกนึกว่าแมลงสาบแต่ไหงตัวมันใหญ่และหนักกว่า ส่องไฟดูกลายเป็นหนูวิ่งจี๊ดเข้ามาในมุ้งเมื่อไหร่ไม่รู้ไล่ก็ไม่อยากไป คงนึกว่าเราเป็นอาหารมันหรือไง

คืนนี้นอนที่นี่

วันที่ 26 ส.ค. ตื่นมาตอนเช้ามีคนเอาชาชงแบบภูฏานมาแจก (ชาใส่เนย รสชาติเลี่ยนๆ) พวกชี้ให้ดูนกเงือกใหญ่บินมาเกาะต้นไม้ใหญ่หลังบ้าน ดีจังที่เห็นนกเงือกครั้งแรกในธรรมชาติ นับได้หกตัว ตัวใหญ่มากสีสวยเชียว ถ่ายรูปทันด้วยสิ เขาเล่าว่านกนี้จะอยู่เป็นคู่ๆ หากวันไหนมีนกตัวอื่นมาอยู่ใกล้ๆ ตัวเมีย ตัวผู้จะเอาจงอยปาก สับตัวเมีย เหมือนจะบอกว่า “ทำตัวดีๆ” เออ! ให้มันได้อย่างงี้สิ แทนที่จะสับตัวผู้ที่มาอยู่ใกล้ๆ     ก่อนจาก แจกเงินให้บ้านนี้สองร้อย ตัวพ่อทำท่าไม่อยากรับ แต่เราบอกว่าให้เด็กๆ น่าสงสารมากเลย หนังสือก็ไม่ได้เรียนสักคน

เช้าวันนั้นเจ้าหน้าที่มาลาเรียที่นี่เชิญไปทานข้าวเช้าที่บ้าน มีปลาแห้งเค็มๆ ทอดแข็งมาก มันฝรั่งผัด และ ดัล (ซุปแขก) กินเสร็จก็นั่งรถไปตลาดหาเนื้อสดๆ แต่ไม่มี ได้ไฟฉายมาใช้แก้ขัดอันหนึ่ง เป็นของจีน หวังว่ามันคงใช้ได้จนกลับ วันนี้ย้ายไปนอนที่บ้านพ่อแม่เจ้าหน้าที่อีกคน อยู่ห่างไปชั่วโมงกว่าๆ ว่าไปแล้วเรามันยิ่งกว่าผีตองเหลืองอีกนะเนี่ย

เห็นนกเงือกกำลังบิน

อาหารเช้า ดูข้าวสิคนที่นี่เขากินกันหมดส่วนเรากินได้แค่ครึ่ง

ร้านขายของทั่วไปตามชนบท

บ้านหลังนี้ 1.6 ล้าน

บ้านหลังนี้ใหญ่โตมีหลายห้อง เพราะลูกหลานเยอะ แต่ไม่มีใครอยู่ มีแต่คนแก่สองคน เด็กเลี้ยงวัว วัวสิบกว่าตัว กับหมาสี่ตัว ปีหนึ่งมาเจอกันหนเดียว หมาตัวหนึ่งชื่อ ออรี่ ตัวผู้ มันฉลาดเป็นกรด ชอบนั่งขอขนม เวลาจะให้มันนั่งต้องพูดว่า อั๊ป ๆ ๆ  สวัสดีได้ทั้งซ้ายขวา ต้องพูดอังกฤษใส่นะมันถึงจะทำ

ออรี่ อั๊ป ๆๆๆ

วันนี้พักผ่อนเป็นส่วนใหญ่ ได้ดื่มนมวัวสดๆ ที่นี่ มันก็ข้นดีนะ แต่มันมีกลิ่นวัวติดมานั่นสิ ห้องนอนดันมาอยู่ซีกเดียวกับคอกวัวเสียอีก ตอนกลางคืน กลิ่นขี้วัวฉี่วัวลอยเข้าห้อง เวียนหัวแทบตาย ต้องปิดหน้าต่างและหันหัวเข้าข้างในห้อง แต่ก็ยังไม่วาย จึงต้องหายใจแรงๆ หลายทีเพื่อให้จมูกมันชิน นึกถึงวิกทาจมูกก่อนนอนจัง ดันไม่ได้เอามาเสียอีก

วันที่ 27 ส.ค. ออกเดินทางไปเมือง Pemagatshel วัดความสูงที่นี่ได้ 1600 เมตรกว่าๆ สูงกว่าน้ำตกศิริภูมิที่ดอยอินทนนท์อีก ดีที่เป็นหน้าร้อนอากาศจึงไม่หนาวมากกำลังดี ได้ห้องพักถูกๆ สี่ร้อย ไม่ค่อยดีนัก ตอนค่ำอากาศเริ่มเย็น กัดฟันอาบน้ำจนได้ วันนี้ดันลืมกุญแจกระเป๋าเดินทางไว้ในกางเกงอีกตัวแต่ตอนนี้มันอยู่ในกระเป๋าเสียแล้ว ซวยเลยตู หาทางสะเดาะกุญแจอยู่พักไม่ได้ผล คิดว่าจะทุบกุญแจ แต่กลัวซิบแตกก็จะไม่มีอะไรปิด จึงจำใจตัดกระเป๋าเป็นช่องผ่านช่องเก็บของ เพื่อล้วงเอากางเกง  ไปเจอผ้าเช็ดตัวพวกนึกว่าเป็นอีกชั้นหนึ่งดันตัดไปหน่อย ในที่สุดก็ได้กุญแจมา สองวันนี้มันเป็นอะไรไม่รู้ของเสียตลอด เมืองนี้ไม่ค่อยมีอะไรมาทำไมไม่รู้ เช้ามาพวกบอกว่าโดนหมัดกัดกันจนนอนไม่หลับทั้งคืน

แถวนี้วิวสวยมาก แต่คนเริ่มโทรมแล้ว

ค่างข้างถนน ชนิดนี้พบได้แห่งเดียวในโลกที่นี่

ภูเขาสูงวิวสวยมาก

ซอง เมือง Trashigang

วันที่ 28 ส.ค. เดินทางไปทางเหนือเพื่อไปจังหวัด Trashigang ต้องออกแต่เช้า นั่งรถห้าหกชั่วโมง ระหว่างทางผ่านภูเขาสูงสองพันกว่าเมตร และป่าทึบ อากาศเย็นและชื้น วิวสวยมาก มีเก้ง ค่างและลิงโผล่มาข้างทางให้เห็น มีหมอกหนาบางช่วง เหมือนขับไปตามยอดดอยอินทนนท์ มองเห็นภูเขาและบ้านคนบนเขา หลายแห่งไม่มีถนนต้องเดินขึ้นเขาลงเขากว่าจะไปถึงกินเวลาหลายชั่วโมง นี่แค่ที่เห็นด้วยสายตานะ หากอยู่หลังเขาอีกลูกหรือหลายลูกจะเดินอีกสองสามวันหรือสิบกว่าวัน ฟังๆ ดูมันเหมือนเป็นเรื่องปกติของที่นี่ ส่วนเราคงเดินเป็นอาทิตย์หรือไม่ก็เดินไม่ถึง คงตายเสียก่อน

ระหว่างทางเจอแอ่งน้ำข้างถนน ลงแวะสำรวจ เจอลูกน้ำยุงก้นปล่องตัวยักษ์ ไม่เคยเห็นมาก่อน พบเฉพาะได้ในที่สูง ตื่นเต้นจัง แต่คิดในใจแล้วว่าน่าจะเป็นชนิดที่ เมืองไทยก็มีแต่ไม่เคยเห็นเป็นๆ

มาถึง Trashigang ตอนบ่ายแต่เดินทางต่่อไปอำเภอ Rangjung นั่งรถไปอีกประมาณชั่วโมง ตอนเย็นไปสำรวจยุงผ่านวัดอยู่บนเนินเขา ยามต้องแสงตอนเย็นดูสวยมาก ที่นี่มีสะพานแขวนข้ามไปอีกฝากของแม่น้ำ ดูมันเก่าๆ ยังไงก็ไม่รู้ มีเหล็กขาดอยู่สองสามเส้นเวลาข้ามมันก็ดูโยกเยกชอบกล น้ำข้างล่างก็ไหลเชี่ยวเสียงดัง ไม่กล้ามอง

เจอผู้หญิงสองคนแต่งตัวแปลกๆ พวกบอกว่าพวกนี้อยู่ทางตะวันออกของเมืองนี้ (ดูแผนที่ตอนท้าย) มีเผ่าหนึ่งที่มีวัฒนธรรมอยู่กันแบบหลายผัวหลายเมีย ผู้หญิงคนหนึ่งอาจมีสามีได้หลายคน และผู้ชายก็อาจมีภรรยาได้หลายคนเช่นกัน เพื่อช่วยกันทำมาหากิน หากมีลูกออกมาก็ช่วยกันเลี้ยงดู ถือว่าเป็นลูกหลานในครอบครัวเดียวกัน ฟังดูแล้วแปลกๆ คงนัวเนียกันไปหมด ไม่รู้ว่าใครเป็นผัวเป็นเมียใครมั่ง เคยได้ยินเหมือนกันว่าบางแห่งในประเทศจีนก็มีวัฒนธรรมแบบนี้

วัดเมือง Rangjung

สะพานแขวน

คืนนี้นอนที่ห้องพักรับรองของอนามัยที่นี่ ห้องไม่มีมุ้งลวด มีแต่ที่นอนและหมอน จึงใช้ผ้าเช็ดตัวห่มแทน ดูอนาถายังไงไม่รู้ คืนนั้นจึงต้องไล่จับยุงในห้องให้หมดก่อนนอน หน้าต่างก็ไปแง้มเปิดตอนดึกๆ รอยุงมันไปที่อื่น หรือรอให้มันกินเลือดคนอื่นให้อิ่มก่อน

เช้าวันต่อมาอากาศดีมาก ออกไปเดินเล่นตามถนน สงบดีจัง วันนี้ได้โอกาสซักผ้า คุนซัง(บอดี้การ์ด)เอาผ้าไปซักให้กองโต ตอนค่ำออกไปจับยุงตามคอกสัตว์แล้วกลับมากินข้าว คืนนี้เปิดปลากระป๋องกิน เพราะเริ่มเบื่อฝีมือคุนซังเต็มที มีแต่พริกต้มเนยกับมันฝรั่งตลอด แต่กว่าจะได้กินก็เกือบสี่ทุ่ม เพราะปลากระป๋องดันติดรถไป คนขับรถไปดื่มเหล้าในเมือง น่าโมโหจริงๆ

วันที่ 30 ส.ค. เก็บตัวอย่างตัวอ่อนริ้นดำแถวข้างถนน (ภายหลังพบว่าเป็นชนิดใหม่ของโลกอีกเหมือนกัน) แล้วออกเดินทางไปจังหวัด Mongar ซึ่งอยู่สูงสองพันกว่าเมตร ใช้เวลา 5-6 ชั่วโมง แต่วันนี้แวะไปนอนที่อำเภอ Gyelpozhing (อ่านยากจัง) ซึ่งค่อนข้างแห้งแล้งและร้อน เมืองนี้มีเขื่อนผลิตไฟฟ้าขนาดย่อม ได้โรงแรมถูกๆสองร้อยห้าสิบน่าอยู่เชียว แต่ไม่มีมุ้งลวด ตอนค่ำไปสำรวจริ้นฝอยทรายในหมู่บ้านซึ่งมีโรคลิสมาเนียเอสิส ระหว่างทางเจอแหล่งพักสำหรับคนเดินทางไปบนเขา มีม้าหลายตัวและคนรอเดินทางหลายคนเป็นคาราวาน เขาบอกว่าจะใช้เวลาสิบห้าวันจึงถึงหมู่บ้านบนเขา ไกลจัง

รถไต่ไปตามเขาไม่นานก็ถึงหมู่บ้านดังกล่าว เป็นครั้งแรกที่เข้าไปนั่งในบ้านไม้ทรงภูฏานหลังใหญ่ เขาเอานมวัวที่เพิ่งรีดมาอุ่นให้ดื่ม ข้นและอร่อยมากขอบอก เพราะเป็นวัวพันธุ์ดีและนมไม่ได้ผสมน้ำเหมือนบ้านเรา ไปตรวจดูตามคอกเผื่อจะเจอริ้นฝอยทรายบ้างแต่ไม่พบสักตัว กว่าจะกลับออกมาถึงโรงแรมก็สามทุ่มกว่า ดีที่ทานนมมาจึงประทังความหิวไปได้บ้าง ได้กินข้าวตอนสี่ทุ่ม ปลากระป๋องเช่นเดิม เสร็จแล้วให้เจ้าหน้าที่สองคนไปเปิดกับดักแสงไฟล่อริ้นฝอยทรายตรงที่คาราวานนอนพักกัน กลับมาตอนเช้าไม่ได้สักตัว โดนหมัดกัดเสียอีกทั้งคืน

คืนนั้นนึกว่าจะได้นอนสบายๆ เปิดพัดลมและหน้าต่างหัวนอนไว้ ตีสองรู้สึกโดนยุงกัดหลายตัว ต้องตื่นมาตบยุงได้ยี่สิบกว่าตัว เลือดเต็มท้องของเราทั้่งนั้น (มันคงเอาคืน) กว่าจะได้นอนอีกทีตีสี่เพราะยุงมันไม่หมดเสียที ยุงเมืองนี้เหมือนยุงในเมืองบ้านเราเพราะมีน้ำเน่าเยอะ คืนต่อมาเลยให้พวกมากางมุ้งให้สบายไป

เช้าวันต่อมาพวกเอารถไปซ่อม หลังจากที่ตะรอนมาเกือบเดือน คุนซังพ่อครัวดันไปกะเขาด้วย เลยอดกินข้าวเช้า ต้องสั่งให้โรงแรมเขาทำมาม่าผัดแห้งให้กินเกือบจะเที่ยงอยู่แล้ว ตอนบ่ายให้เขาไปซื้อไข่มาต้มกิน ไข่ที่นี่แพงจัง สามสิบฟองร้อยยี่สิบแม้จะไปซื้อที่ฟาร์มโดยตรง ว่าไปแล้วอาหารที่นี่ก็ใช่ว่าจะถูกหากไปกินตามโรงแรมหรือร้าน วันก่อนที่ในเมือง Mongar กินกลางวันกันห้าคนหมดไปห้าร้อยกว่า มาม่าผัดแห้งตอนเช้าวันนี้ก็เจ็ดสิบ มารู้ตอนจ่ายตังตอนออกโรงแรม

วันที่ 1 ก.ย. กลับมานอนใน Mongar อากาศเย็นกว่า Gyelpozhing เยอะ กลางคืนหนาวเลยล่ะ ได้ห้องพักรับรองของจังหวัด คืนละสามร้อย น่าอยู่พอสมควร จึงตกลงพักที่นี่สามคืน ใกล้ห้องพักมีต้นมันฮ้อต้นใหญ่ เคยกินแต่ลูกมัน วันนี้มาเห็นด้วยตา ตามข้างถนนพบต้นกัญชาขึ้นอยู่เต็ม สวรรค์ของขี้ยาจริงๆ แต่เขาห้ามสูบ โดนจับแน่ถ้าตำรวจเห็น จังหวัดนี้น่าอยู่แม้จะไม่ใหญ่นัก มีร้านค้าและโรงแรมหลายแห่ง ถนนแต่ละสายไม่ได้อยู่ระดับเดียวกันเพราะมีแต่เขา น่าทึ่งที่เขาสามารถทำภูเขาให้เป็นจังหวัดได้ หมู่บ้านแต่ละแห่งก็อยู่บนเขา บางแห่งถนนไปไม่ถึงต้องเดินอย่างเดียว แต่น้ำและไฟฟ้ามีแทบทุกแห่ง สามวันที่อยู่ที่นี่ส่วนใหญ่ใช้เวลาอยู่แต่ในห้อง เพราะต้องจัดการกับยุงและลูกน้ำยุงที่ออกไปจับตามข้างถนนแถวนี้ซึ่งสูงสองพันกว่าเมตร เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นยุงก้นปล่องในที่สูง ไปหาบนดอยอินทนนท์ หลายครั้งยังไม่เคยเจอเลย เก็บตัวอย่างตัวอ่อนริ้นดำมาด้วย (พบว่าเป็นชนิดใหม่ของโลกอีกเหมือนกัน) ฝนตกที่นี่สองคืน มีหมอกลงหนา บรรยากาศแปลกๆ เงียบและเหงาบอกไม่ถูก

วันที่ 4 ก.ย. ออกจาก Mongar จุดหมายต่อไปคือ Jakar (ชื่อใหม่คือ Bumthang) จังหวัดที่มีวัดเก่าแก่ที่สุด อยู่ห่างออกไปสองร้อยกว่าโล เส้นทางขึ้นเขาไปอีก (ดูแผนที่หน่อยนะ) ผ่านน้ำตกสูงข้างทางสวยเชียว

ตอนนี้อยู่ทางซีกขวามืออ่ะ

ทีแรกกะจะพักระหว่างทางคืนหนึ่งก่อน แต่หมู่บ้านไม่น่าอยู่ จึงเดินทางต่อให้ถึง Bumthang เส้นทางสายนี้อยู่สูงที่สุดในบรรดาถนนที่นี่ วัดที่ยอดได้ 3700 กว่าเมตร สูงกว่าดอยอินทนนท์ร่วมพันเมตร อากาศเย็นมาก เสื้อกันหนาวดันอยู่กะบะหลังรถเสียอีก หน้าหนาวไม่สามารถผ่านได้เพราะหิมะปกคลุมหนา เราจอดแวะเก็บหนอนริ้นดำน้ำเย็นเฉียบจนมือชา (พบว่าเป็นชนิดใหม่ของโลกอีกเหมือนกัน) ณ ระดับนี้เริ่มมีต้นสนและพืชแปลกๆ ที่พบเฉพาะในเขตหนาว สนหลายต้นปลายหักเพราะหิมะเกาะจนหัก มีมอส ตะไคร่น้ำและไลเค่น จับตามกิ่งและใบ มีหมอกหนาตลอดทาง แปลกหูแปลกตามาก บรรยากาศดูน่าสะพรึงกลัวเหมือนหลุดมาอยู่ในโลกยุคโบราณ บนพื้นมีดอกไม้ป่าสีเหลืองและอื่นๆ อยู่ตลอดทางสวยมาก

น้ำตกข้างทางไปจังหวัด Bumthang

ป่าสนบนที่สูงมาก

ข้างหลังเป็นไลเค่นปลิวไปมา (ตอนนี้ผมเริ่มยาวแล้ว)

ป่าสนและไลเค่น

ไปถึง Bumthang ก็เย็นแล้ว ได้ห้องพักคืนละห้าร้อย ทำด้วยไม้สนทั้่งหลัง น่าอยู่จังแต่หนาวเย็นมาก งดอาบน้ำหนึ่งวัน พวกปิ้งเห็ดที่ซื้อมาให้กิน จิ้มกินกับซอสคิกโคแมนที่คนขายเห็ดแบ่งให้ รสชาติเหมือนกุ้งเผาอร่อยมาก มิน่ามันถึงแพงมากในญี่ปุ่น ตอนค่ำไปกินข้าวในเมือง พวกบอกว่าที่นี่เป็นชุมทางไปสู่ตะวันออก ส่วนใหญ่จะมาพักที่นี่และเดินทางต่อตอนเช้ามืด พอตีห้ารถเมล์จะบีบแตรเสียงดังปลุกคนเดินทางมาขึ้นรถ คงวุ่นวายมากเลย

เมือง Bumthang มี ซอง บนเขา

อาคารหลังเล็กสุดขวามือเคยเป็นที่ กูรู Rinpoche มานั่งวิปัสสนา

ตกกลางคืนอากาศหนาวมากคงประมาณ 10 องศา  แต่ก็มีผ้าห่มสามชั้นนอนอุ่นสบาย ตอนเช้าไปดูวัดเก่าแก่ที่นักบวชชื่อ กูรู Rinpoche ผู้เผยแพร่พุทธศาสนา เคยมานั่งวิปัสสนาที่นี่เมื่อหลายร้อยปีที่ผ่านมา เสร็จแล้วไปทำอาหารเช้ากินกันที่ป่าสน เจอพวกเลี้ยงวัวเร่ร่อนจึงไปขอซื้อเนยทำอาหาร คนกลุ่มนี้จะพาวัวหลายสิบหลายร้อยตัวไปกินหญ้าตามที่ต่าง ๆ เมื่อหญ้าหมดก็ไปต้อนไปกินที่อื่นต่อ พวกนี้มีที่ของตนเองอยู่หลายแห่ง ทางตอนเหนือของภูฏานก็มีพวกนี้อยู่เยอะ เขาเลี้ยงวัวที่เรียกว่า ยัค (yak) หรือจามรี ร่อนเร่ไปตามเขา พวกว่าเนื้ออร่อยจะมีขายตอนหน้าหนาวเพราะพวกนี้จะอพยพลงมา ได้โอกาสเก็บตัวอ่อนริ้นดำอีกแห่ง (พบว่าเป็นชนิดใหม่ของโลกอีกเหมือนกัน) ตอนบ่ายฝนตกอากาศเย็น 17 องศา ไม่ได้ออกไปไหน ตอนเย็นปิ้งเห็ดกินอีก อร่อยเหมือนเดิม

พวกเลี้ยงวัวเร่ร่อน มีขี้วัวเต็มไปหมดต้องหลบให้ดี

วันที่ 6 ก.ย. ออกจาก Bumthang ผ่าน Trongsa ไปสู่ Zhemgang ทางตอนใต้ ใกล้ Gelephu เข้าไปทุกทีแล้ว สิ้นสุดการเดินทางรอบ
ภูฏานเสียที  ยังมีตอนจบนะ