ไปทำวิจัยในภูฏาน (ตอน2)

วันที่ 29 ก.ค. ต้องตื่นแต่เช้า นัดกันออกจาก Thimphu เจ็ดโมงเช้า เลยตั้งนาฬิกาปลุกไว้ตอนหกโมง แต่ก็ต้องตื่นมาปิดก่อนเวลา เพราะตื่นแต่ตีห้า ก่อนเจ็ดโมงก็ลงไปหาอะไรใส่ท้องก่อนให้แน่น เพราะรู้ว่าจะต้องเดินทางยาว กะว่าคงถึงเย็น  ไม่รู้จะได้กินข้าวกลางวันเมื่อไร รอจนเจ็ดโมงกว่าจะแปดโมงรถเพิ่งมา เพราะคนขับนอนเพลินไปหน่อย (ดันบอกเราให้ตื่นแต่เช้า) พอออกจากตัวเมืองมุ่งสู่จุดหมายแรกคือ เมือง Punakha เมืองหลวงเก่า รถก็เริ่มไต่ขึ้นเขาไปตามถนนแคบๆ หากเจอรถสวนตอนทางโค้งเป็นต้องสะดุ้งทุกที ดีที่ไม่ค่อยมีรถพลุกพล่านนัก ยิ่งไกลออกไปทิวทัศน์ยิ่งสวยมากขึ้น เป็นป่าสนและเขาสูงฝนตกพรำๆ และมีหมอกหนา มองเห็นทางแค่ไม่กี่สิบเมตร เวลาผ่านไปชั่วโมงกว่า ผ่านสถานที่แห่งหนึ่ง เรียกว่า Dochula อยู่ยอดเขา ความสูง 3100 เมตร หากอากาศดีจะเห็นแนวเขาทางภาคเหนือได้ตลอด ที่นี่มีสถูปเต็มไปหมด (เห็นแล้วนึกถึงงานพืชสวนโลกจังดูคุ้นๆ) สถานที่แห่งนี้พระมเหสีของกษัตริย์องค์ก่อนสร้างเป็นอนุสรณ์แห่งชัยชนะที่กษัตริย์ภูฏานนำกำลังขับไล่กบฎอินเดียออกประเทศเมื่อปี 2003 ซึ่งก่อนหน้านี้  มีกลุ่มกบฏของรัฐอัสสัมที่ต้องการแยกดินแดนออกจากอินเดีย เข้ามาซ่องสุมกำลังในเขตภูฏาน ทางรัฐบาลอินเดียต้องการกวาดล้างพวกนี้จึงสนับสนุนภูฏานด้านอาวุธ จนสามารถไล่ออกจากภูฏานสำเร็จ ตอนนี้ไม่รู้ไปซ่อนอยู่ที่ไหน ในภูฏานเองก็มีทหารอินเดียประจำตามชายแดนและในภูฏาน ช่วยสร้างถนนหนทาง และป้องกันชายแดนตอนเหนือติดจีน คนอินเดียก็มารับจ้างเต็มภูฏาน ไม่ว่าจะอยู่ป่าเขาที่ไหนก็มีให้เห็นทั่วไปหมด

Dochula

แวะถ่ายรูปได้เดี๋ยวเดียวเพราะฝนยังตก จากนั้นอีกประมาณหนึ่งชั่วโมงก็เข้า สู่เมือง Punakha เมืองหลวงเก่า มีอาคารที่ทำการรัฐและวัด เป็นสถานที่ที่กษัตริย์จิกมิทรงอภิเษกสมรสในปี 2011  มีแม่น้ำสองสายผ่าน ด้านหน้าน้ำขุ่นสีเทา ด้านหลังน้ำขาวกว่า และมาบรรจบกันทำให้สายน้ำใหญ่ขึ้นอีก บรรยากาศมีหมอกและฝนตกปรอยๆ น่าชมมาก พวกบอกว่าต้นน้ำเหล่านี้เป็นอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ แนวเทือกเขาหิมาลัย ไกลแค่ไหนก็ไม่ได้บอกแต่ไกลมาก

ซอง (หรือศาลากลาง) เมืองพูนาคา

แม่น้ำสีเทาก่อนจะไหลผ่านซอง

ผ่านออกจาก Punakha ก็แวะจิบน้ำชาในร้านเล็กๆ เก่าๆ ข้างทาง คนที่นี่นิยมทานชาใส่นมวัว ถ้วยละ 5 รูปี ในร้านมีขวดเหล้าหลากสี ให้คนซื้อดื่มได้เหมือนเหล้าตองบ้านเรา บางขวดมีน้ำสีน้ำเงิน เขาบอกว่าเป็นเหล้าราคาถูก พวกใช้แรงงานอินเดียชอบดื่ม โรงงานเหล้าของประเทศอยู่ที่เมือง Gelephu ที่กำลังจะไป ผลิตเหล้ารสดีเหมือนกันเขาบอก จากนั้นเดินทางต่อเรียบแม่น้ำสายใหญ่ที่กว้างและน้ำเยอะมาก เจอซองอีกแห่งอยู่บนเขา ทรงมันคล้ายๆ กัน ชื่ออะไรก็ฟังไม่ถนัดเพราะพวกเล่นพูดเร็วเหมือนกลัวเราจำได้ มารู้อีกทีตอนย้อนกลับมาว่าเมืองนี้แห่งนี้ชื่อ วังดี (Wangdee) แม่น้ำก็ดูสงบและกว้างขวาง ถามเขาว่าทำไมไม่ใช้เรือในการเดินทาง เขาบอกว่าตอนนี้ก็ดูดี และไปอีกหน่อยจะเชี่ยวมากและมีแต่ก้อนหินใหญ่ และจริงอย่างเขาบอก ถัดไปไม่ไกลมีแต่ก้อนหินใหญ่ๆ เต็มแม่น้ำซึ่งไหลเชี่ยวมาก

ซอง เมืองวังดี

หนทางเริ่มแคบมากขึ้นและไต่ไปตามหุบเขาสูงของป่าสน มีดินและหินถล่มเป็นระยะๆ แต่ก็ผ่านไปได้ บางช่วงเห็นแม่น้ำอยู่ลึกลงไปสองสามร้อยเมตร ไหลอย่างเชี่ยวกราก ข้างทางก็ไม่มีอะไรกั้น นั่งเครื่องบินสูงเป็นสิบกิโลก็ยังไม่เสียวเท่านั่งรถไปทางนี้ มองลงมาแล้วอดคิดไม่ได้ ยิ่งเรานั่งหน้าอยู่ด้วย เหลือบไปเห็นคนขับเริ่มหาวยิ่งใจไม่ค่อยดี เลยบอกให้หยุดยิงกระต่ายดอยกันหน่อย จึงค่อยสดชื่นกันถ้วนหน้า ขับต่อไปยิ่งเพลินกับน้ำตกตลอดทาง น้ำเยอะมากจริงๆในฤดูฝนนี้ ถ้าไม่รีบไปจะขอหยุดถ่ายรูปมาให้ดู แต่กลัวจะค่ำมืดเสียก่อน คิดในใจว่ารอวันกลับดีกว่ามีเวลาเยอะ ใครที่ว่าทางไปแม่ฮ่องสอนโหดแต่สวยงามนั้น ถ้าได้มาที่นี่รับรองว่าจะต้องเลิกคุย ขนาดผมไปแม่ฮ่องสอนหลายครั้ง ผ่านโค้งเป็นพัน ยังสู้ที่นี่ไม่ได้เลย แต่ไม่ยักเห็นเขาให้ใบประกาศฯ เหมือนเมืองแม่ฮ่องสอน ระหว่างทางต้องผ่านด่านตรวจสองสามแห่ง การเดินทางในภูฏานสำหรับคนต่างด้าวต้องมีการแจ้งล่วงหน้า และรายงานตัวที่ด่านแต่ละครั้ง (คงกลัวเรามาแล้วไม่อยากกลับ) กว่าจะได้กินข้าวกลางวันก็ปาไปบ่ายสอง ดีที่รองท้องมาเยอะเลยไม่หิวมากนัก

เส้นทางในหุบเขา

รถที่ใช้เดินทาง (ดูหมอกสิ)

ด่านตรวจ มีอยู่ทั่วไป

ก่อนจะถึงเขต Sarpang ซึ่งมีเมือง Gelephu อยู่ด้านตะวันออกติดชายแดนอินเดีย ทางเริ่มไต่ลงเขาไปเรื่อยๆ ฝนก็ตกได้ตกดี หมอกก็หนามาก มีหินถล่มตามถนนมากขึ้นเพราะน้ำไหลลงจากเขาตลอดข้างทาง เหมือนวิ่งผ่านน้ำตกตลอดทาง สี่โมงกว่าเริ่มลงสู่ที่ราบ ผ่านแม่น้ำสายใหญ่ที่ตัดถนนหลายแห่ง ที่แปลกคือ สะพานข้ามแม่น้ำสายใหญ่ที่นี่เป็นถนนซีเมนต์ขวางแม่น้ำ ปล่อยให้น้ำข้ามถนน ทำให้เราต้องรอให้น้ำลดเสียก่อนจึงข้ามได้  มาถึงเมือง Gelephu ห้าโมงกว่า รถก็เลี้ยวเข้าที่พัก Dragon Guest House เป็นบ้านที่ทำห้องไว้ให้คนพักเหมือนโฮมสเตย์ เหตุที่เขาเลือกที่นี่เพราะมีแอร์ โรงแรมอื่นๆ ไม่มีแอร์ ร้อนและจะนอนไม่หลับ (ดูสิว่าเขาละเอียดขนาดไหน) บ้านนี้มีลูก 7 คน ผู้หญิง 5 ผู้ชาย 2 แต่ตอนนี้อยู่เฉพาะผู้หญิง 4 คน (อ้วน 3 ผอม 1) ค่าห้องบวกอาหารสามมื้ออยู่ที่ 1400 รูปี ส่วนห้องนอนก็ธรรมดาแต่ก็กว้างขวาง มีเคเบิ้ลทีวี ห้องน้ำในตัว

Dragon guesthouse

เช้าวันที่ 30 ก.ค. มีรถมารับไปรายงานตัวที่ศูนย์ควบคุมโรค ซึ่งอยู่ไม่ไกลนักเมืองนี้เงียบสงบจัง รถไม่ค่อยมี บ้านก็อยู่ห่างๆ กัน มีต้นหมากแทบทุกบ้าน ได้ห้องนั่งทำงานมาห้องหนึ่ง ต่อเน็ตได้ด้วย ข้างในก็ดูเรียบง่าย ทำด้วยไม้ส่วนใหญ่ ทำให้มีบรรยากาศเหมือนเข้าโรงเรียนตอนเด็กๆ ที่เป็นอาคารไม้ ทุกคนต้องแต่งชุดประจำชาติ แม้จะร้อนตับแตก (มีคนบ่นให้ฟัง) ตอนบ่ายไปแผนกแมลง ไม่น่าเชื่อว่าที่นี่มีของใช้มากมายดีกว่าห้องแลปเราอีก แต่ส่วนใหญ่ไม่ได้ใช้ หรือไม่รู้จะใช้ยังไง ฟังดูแล้วขำไม่ออก

สำนักงานควบคุมโรคนำโดยแมลง

ตอนเย็นเขาขับรถพาข้ามด่านไปดูฝั่งอินเดีย มันช่างแตกต่างกันจริงๆ ผู้คนก็ดู ดำๆ แต่งตัวแบบแขก บ้านเรือนก็ไม่ค่อยน่าดูเท่าไหร่ แวะไปดูตลาดก็แม้ไม่ค่อยมีอะไรขายแต่ก็น่าสนใจ เห็นเขาขายหมูแบบหั่นเป็นท่อนตามขวางทั้งตัว ไม่แยกเป็นส่วนๆ เหมือนบ้านเรา และที่ตัดปลาแบบแปลกๆ คนภูฏานไม่ฆ่าสัตว์ตามคำสอนของลัทธิวัชรยานตามแบบทิเบต เลยต้องไปซื้อเนื้อสัตว์ ส่วนใหญ่เป็นหมู แพะและปลาจากคนอินเดีย

ตลาดฝั่งอินเดีย

วิธีหั่นปลา (ดูแล้วเสียว)

หั่นหมูขายเป็นท่อนแบบนี้เลย

ตกค่ำก็ไปจับยุงตามคอกสัตว์ใกล้ๆ แถวนั้น มีเจ้าหน้าที่มาช่วยหลายคน เจ้าของบ้านก็ใจดี เอาชาใส่นมอุ่นๆ มาให้ดื่ม สงสัยนมสดจริงๆ เพราะได้กลิ่นฉี่วัวอยู่เลย และมีรสขิงนิดหน่อย ฝนก็ตกได้ตกดี สองทุ่มเลยกับมานอน ท้องเริ่มร้องเลยต้มมาม่ามื้อแรกเพราะไม่ได้สั่งให้เขาทำ วันนี้ได้ฤกษ์ซักถุงเท้าและกกน. กว่าจะได้นอนก็ดึกแล้ว ฟังเสียงฝนซึ่งตกหนักตลอดคืน

ใต้ถุนบ้านที่จับยุง กับชาใส่นม

เจ้าหน้าที่จับยุง ปากแดงเพราะกินหมาก

กินหมาก (ใบอะไรไม้รู้เหมือนไปพลู และปูนขาว)

วันที่ 31 ก.ค. มีรถมารับที่พักเหมือนเดิม มีคนหิ้วกระเป๋าให้ เปิดปิดประตูรถ พูดลงท้ายด้วย sir ทุกคำ ชักติดใจที่นี่เสียแล้ว กลัวจะเสียนิสัยตอนกลับบ้าน ตอนบ่ายแห่กันไปเยี่ยมหัวหน้าเขาที่บ้านซึ่งป่วย เมื่อวานก็ยังเห็นดีๆ อยู่ เขาบอกเป็นธรรมเนียมของที่นี่ เห็นมีไข่ถาดหนึ่งกับกล่องกระดาษเล็กๆ หนึ่งกล่อง ลืมถามว่าข้างในเป็นอะไร คนที่นี่ช่างมีน้ำใจต่อกันดีจัง เจ้าของบ้านเอาน้ำส้มขวดมาเสริฟ รินจนเต็มแก้ว เสร็จแล้วก็ไปสำรวจลูกน้ำต่อ กลับมารอทานข้าวเย็นตอนสองทุ่ม ลูกสาวสองสามคนช่วยกันทำ วันนี้สั่งให้ทำสลัดผัก เพราะไม่ค่อยได้กินผัก ผลไม้เลย รสชาติไม่เลว

อาหารเย็น (นั่งทานคนเดียว เหงาจัง)

วันที่ 1 ส.ค. ก็ไปทำงานตามปกติ ตอนบ่ายสามไปบรรยายให้เจ้าหน้าที่ฟัง ตกเย็นไปเดินเล่นดูบ้านเมืองเขา ดูเงียบจัง บ้านเรือนก็สร้างทรงคล้ายๆ กัน เพิ่งมารู้ว่าหากใครสร้างแบบอื่น จะถูกปรับแพงมาก มิน่าในเมืองหลวงจึงเห็นตึกทรงคล้ายๆ ก้นไปหมด วันนี้ได้เพื่อนเพิ่มมาอีกสองตัว ชื่อปริ้น และปริ้นเซส  มาจากอินเดียเลยดูหน้าตาเหมือนแขก ตัวผู้นี้เจ้าเล่ห์มาก ชอบแอบขึ้นโต๊ะกินอาหารตอนเผลอ ส่วนตัวเมียขี้อ้อน วันนี้เริ่มเห็นแดดตอนบ่าย เสื้อผ้าที่ส่งให้ลูกสาวบ้านนี้ซักก็ได้คืนมาแล้ว รีดเสียเรียบร้อยเลย ตอนหน้าจะเริ่มการเผชิญภัยแล้ว คอยติดตามต่อไปนะครับ……

ถนนสายหนึ่งในเมือง Gelephu

ย่านการค้า

มุมถนนแห่งหนึ่ง

เพื่อนใหม่ ปริ้น และปริ้นเซส